วันนี้ (30 กันยายน) ในการประชุมรัฐสภา ครั้งที่ 1 สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1 เป็นพิเศษ วาระคณะรัฐมนตรี (ครม.) แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 พริษฐ์ วัชรสินธุ สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายสรุปเป็นคนสุดท้ายของพรรคประชาชน โดยระบุว่า รัฐบาลเฉพาะกาลชุดนี้มีภารกิจหลักในการยุบสภา และแก้ไขรัฐธรรมนูญภายใน 4 เดือน
พริษฐ์ระบุว่ารัฐบาลต้องเร่งแก้ไขปัญหา 3 ด้านที่เปรียบเสมือน ‘สงคราม’ ได้แก่
1. สงครามเศรษฐกิจ รัฐบาลควรเดินหน้าโครงการ “คนละครึ่งพลัส” โดยเพิ่มเงื่อนไขที่ช่วยกระตุ้นการบริโภคจริง ไม่ใช่แค่ย้ายยอดขาย และต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อพื้นที่ทางการคลังของรัฐบาลชุดถัดไป
2. สงครามการค้าระหว่างประเทศ รัฐบาลต้องปกป้องผู้ประกอบการไทยจากปัญหาสินค้าสวมสิทธิ์และมาตรการทุ่มตลาดจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากสหรัฐอเมริกาและจีน
3. สงครามชายแดนไทย-กัมพูชา รัฐบาลควรเร่งทำลายธุรกิจสีเทาที่เป็นแหล่งหล่อเลี้ยงเครือข่ายความไม่สงบ เพื่อคืนความปลอดภัยให้กับประชาชนบริเวณชายแดน
นอกจากนี้ พริษฐ์ยังกล่าวเตือนรัฐบาลถึงสิ่งที่ไม่ควรทำ และต้องยึดหลัก “ไม่ขายของ ไม่ขายฝัน และไม่ขายสมบัติของชาติ” เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายในระยะยาว
1. ไม่ขายของ คือหลีกเลี่ยงนโยบายหาเสียงที่สร้างภาระทางการคลังให้รัฐบาลชุดหน้า เช่น โครงการลดค่าครองชีพ อย่างค่าโดยสารรถไฟฟ้าหรือค่าไฟฟ้า ที่ยังขาดกลไกที่ยั่งยืนและอาจต้องใช้เงินภาษีประชาชนเข้าอุดหนุน
2. ไม่ขายฝัน รัฐบาลไม่ควรเสนอนโยบายที่ดูดีแต่ไม่สามารถทำได้จริงใน 4 เดือน เช่น การผลักดันกฎหมายระดับพระราชบัญญัติหลายฉบับที่ต้องใช้เวลาศึกษา และมีข้อถกเถียงสูง โดยเสนอให้รัฐบาลคืนเวลาให้ฝ่ายนิติบัญญัติ เพื่อผลักดันร่างกฎหมายที่เสนอโดย สส. และประชาชน
3. ไม่ขายสมบัติของชาติ: รัฐบาลต้องปกป้องสมบัติของชาติในทุกมิติ ไม่ใช่แค่เรื่องเขตแดนและอธิปไตย พร้อมยกตัวอย่างที่ดินรัฐ โดยเรียกร้องให้รัฐบาลเอาจริงกับกรณีที่ดินเขากระโดง โดยสนับสนุนให้การรถไฟฯ ดำเนินการฟ้องร้องเพื่อทวงคืนที่ดินจากผู้มีอิทธิพล
รวมถึงสถาบันการเมือง ขอให้รัฐบาลยึดหลักนิติธรรมอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะในประเด็นการแต่งตั้งกรรมการองค์กรอิสระ และขอให้รัฐมนตรีที่เคยเป็นตำรวจภายใต้การบังคับบัญชาของ สว. ที่ถูกกล่าวหา ยืนยันว่าจะไม่แทรกแซงกระบวนการสอบสวน
พริษฐ์ยังกล่าวถึงเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามเงื่อนไข MOA โดยระบุว่า คำแถลงนโยบายที่กล่าวถึงเรื่องนี้ยังกว้างและเบาบางเกินไป โดยเรียกร้องให้ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ยืนยันต่อรัฐสภาว่า จะเร่งเดินหน้าทำประชามติรัฐธรรมนูญให้เสร็จสิ้นพร้อมกับการเลือกตั้งในเดือนมกราคม 2569 และจะสนับสนุนกลไกสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มีประชาชนเป็นส่วนร่วมอย่างแท้จริง
ในช่วงท้ายพริษฐ์ได้กล่าวโดยตรงต่อนายกรัฐมนตรีว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะสำเร็จได้ต้องอาศัยความร่วมมือจากสมาชิกวุฒิสภา (สว.) และประชาชนต่างก็ทราบดีถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างนายกรัฐมนตรีและ สว. บางส่วน ดังนั้น ความจริงใจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาลจึงขึ้นอยู่กับการโน้มน้าว สว. ให้เห็นถึงความสำคัญของการสร้างอนาคตที่ดีให้กับประเทศ โดยมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มาจากประชาชน
พริษฐ์ชี้ว่า ไม่เพียงเป็นการยืนยันว่าท่านจะรักษาสัญญาตาม MOA แต่จะเป็นโอกาสอันดีที่ท่านจะได้สื่อสารกับ สว.โดยตรงที่ถือกุญแจในการปลดล็อกแก้รัฐธรรมนูญ เข้าใจดีว่าการโน้มน้าวให้ สว. เป็นหน้าที่ของพวกเราทุกคน และพร้อมทำเต็มที่ แต่บุคคลที่ทำเรื่องนี้ได้ดีที่สุดหนีไม่พ้นบุคคลที่ชื่อว่า อนุทิน ชาญวีรกูล ไม่ใช่เพียงเพราะท่านเป็นนายกรัฐมนตรี แต่เพราะที่ผ่านมาท่านกับ สว.ใจตรงกันหลายเรื่อง ลงเรือลำเดียวกันหลายเหตุการณ์
“นายกรัฐมนตรีจะปฏิเสธความสัมพันธ์และความสามารถพิเศษนี้ได้ เป็นสิทธิ์ของท่าน แต่ประชาชนรู้ดีว่าความร่วมมือของ สว. จะเป็นตัวชี้วัดความจริงจังและความจริงใจของท่านในวาระเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ ความหวังของประชาชนจำนวนมากต่อการมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต่ออนาคตประเทศไทยอยู่ในมือนายกรัฐมนตรี หลายคนไม่เชื่อว่าจะแปรสภาพความหวังให้เป็นจริงได้ แต่เริ่มต้นได้วันนี้ ลุกขึ้นมาชี้แจงและโน้มน้าวว่า ไม่ได้มองรัฐธรรมนูญเป็นภาระที่ต้องทำให้เสร็จ แต่เป็นวาระสำคัญในการซ่อมประเทศสร้างอนาคตที่ดีให้กับคนไทย” พริษฐ์กล่าว