วันนี้ (27 พฤศจิกายน) ที่อาคารรัฐสภา พริษฐ์ วัชรสินธุ สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยภายหลังการร่วมหารือกับ วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฎร เกี่ยวกับกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
พริษฐ์เปิดเผยว่า วันนี้เป็นการประชุมกันระหว่าง กมธ.การพัฒนาการเมือง และประธานรัฐสภา เกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยข้อถกเถียงหลักอย่างหนึ่งเกี่ยวกับกระบวนการนี้คือจำนวนการทำประชามติ ในส่วนของกฎหมายหรือคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญซึ่งกำหนดไว้ให้ต้องทำอย่างน้อย 2 หรือ 3 ครั้งนั้น มาถึงวันนี้ความเห็นต่างในการตีความคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564 ก็ยังคงมีอยู่
อย่างไรก็ตาม เรามีข้อมูลเพิ่มเติม 2 อย่างที่พูดคุยกับประธานสภาและทีมในวันนี้ คือ
- ตามความเห็นส่วนบุคคลของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 คน ประกอบคำวินิจฉัยที่ 4/2564 นั้น เห็นว่าเสียงส่วนใหญ่ของตุลาการเขียนไว้ค่อนข้างชัดเจนว่า การทำประชามติ 2 ครั้งนั้นเพียงพอแล้ว
- ข้อมูลที่มาจากการประชุมหารืออย่างไม่เป็นทางการกับประธานศาลรัฐธรรมนูญเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
พริษฐ์เปิดเผยว่า เมื่อนำข้อมูล 2 ชุดนี้หารือกับประธานสภาได้ข้อสรุปว่า หากจะให้คณะกรรมการประสานงานวินิจฉัยเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่งจะต้องยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยมีเนื้อหาเพิ่มหมวด 15/1 เกี่ยวกับการมีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) เพื่อมาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เข้าสู่สภาอีกรอบหนึ่ง หลังจากนี้ตนเองจะไปหารือกับ สส. พรรคประชาชน เพื่อยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งจะทำให้คณะกรรมการประสานงานมีโอกาสในการวินิจฉัยอีกครั้งว่าตกลงแล้วจำเป็นจะต้องทำประชามติเพิ่มขึ้นมาเป็นครั้งที่ 3 หรือสามารถทำ 2 ครั้งก็เพียงพอ และเรามีความหวังว่าข้อมูลใหม่ที่ได้นำมาในวันนี้จะเพียงพอในการทำให้คณะกรรมการประสานงานวินิจฉัยว่า 2 ครั้งก็เพียงพอ
ขณะเดียวกัน พริษฐ์ระบุว่า ได้ออกหนังสือขอเข้าพบนายกรัฐมนตรี เพื่อหารือเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญไปในคราวเดียวกับการขอเข้าพบประธานรัฐสภา และประธานศาลรัฐธรรมนูญ เหลือเพียงรอการตอบกลับจากนายกฯ ว่าจะให้เข้าพบเมื่อไร
ส่วนหากเดินตามกรอบเวลาใหม่คือการทำประชามติ 2 ครั้ง พริษฐ์ประเมินว่า หากสมมติมีการยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เพิ่มหมวดเกี่ยวกับ สสร. เข้าสู่สภาแล้ว คณะกรรมการประสานงานและประธานสภาตัดสินใจบรรจุในรอบนี้ ก็จะทำให้เข้าสู่การพิจารณาในวาระ 1 ได้ทันที ซึ่งหากเปิดสมัยประชุมสภาในช่วงปลายปีนี้หรือเดือนธันวาคมและสามารถทำให้เข้าได้ทันทีนั้น ก็มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะผ่าน 3 วาระ ภายใน 3-6 เดือน
“และหากเป็นเช่นนั้นประชามติรอบแรกก็จะเกิดขึ้นหลังผ่านวาระ 3 ซึ่งอาจจะเป็นช่วงหลังของปี 2568 และเมื่อประชามติผ่านแล้วอาจจะต้องมีกระบวนการเลือกตั้ง สสร. โดยหากทำทุกอย่างให้เสร็จได้ภายในปี 2568 สสร. จะมีเวลาในปี 2569 เพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และทำให้เราสามารถนำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้นไปทำประชามติรอบที่ 2 ในช่วงต้นปี 2570 ก็จะทันก่อนการเลือกตั้งครั้งต่อไป ดังนั้นผมอยากเห็นความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการร่วมรักษาสัญญา” พริษฐ์กล่าว
สำหรับกรณีที่พรรคประชาชนจะยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าไปใหม่จะเป็นร่างเดิมหรือไม่นั้น พริษฐ์กล่าวว่า คงต้องหารือกันก่อน แต่เวลานี้ยังไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องปรับจากร่างเดิม ส่วนเหตุผลของประธานสภาที่ทำให้ต้องยื่นใหม่ทั้งที่มีร่างเดิมค้างอยู่ 2 ฉบับนั้น เพราะมีการวินิจฉัยไปแล้วเกี่ยวกับร่างนั้นว่าจะไม่บรรจุ ดังนั้นเรื่องนั้นถือว่าสิ้นสุดไปแล้วแม้จะมีข้อมูลใหม่ที่ได้มาก็ตาม
ขณะที่ ว่าที่ ร.ต.ต. อาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร กล่าวเสริมว่า ตนเองในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงาน และเสนอความเห็นต่อประธานสภา ก็ได้รับข้อมูลใหม่ให้คณะกรรมการนำไปทบทวนหากมีการเสนอร่างจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ พร้อมส่งมอบความเห็นเพิ่มเติมที่ได้รับจากศาลรัฐธรรมนูญ ประธานสภาจึงมีดำริว่า ให้คณะกรรมการนำข้อมูลส่วนนี้ไปประกอบคำวินิจฉัยเดิม ส่วนจะเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญร่างเดิมได้หรือไม่นั้น แล้วแต่ท่านผู้เสนอ
ว่าที่ ร.ต.ต. อาพัทธ์ ระบุอีกว่า ตนเองรับปากกับพริษฐ์ต่อหน้าประธานสภาว่า จะนำความเห็นของประธานศาลรัฐธรรมนูญมาร่วมพิจารณา และถ้ามีโอกาสจะเชิญพริษฐ์และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปร่วมให้ข้อมูลด้วย