วันนี้ (17 พฤศจิกายน) พริษฐ์ วัชรสินธุ สส. แบบบัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคประชาชน ในฐานะกรรมาธิการพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของรัฐสภา ชี้แจงความคืบหน้าในการลงมติเกี่ยวกับกลไกสำคัญในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยระบุว่า มีทั้งเรื่องน่าผิดหวังและน่ายินดีผสมกันไป
พริษฐ์กล่าวว่า เพราะแม้เราไม่สามารถโน้มน้าวให้กรรมาธิการจากพรรคอื่นๆ และสมาชิกวุฒิสภา (สว.) เห็นด้วยกับเราใน 2 จาก 3 ข้อเสนอ คือสภาที่ปรึกษาที่ประชาชนเลือกโดยตรง และ การให้ประชาชนคัดกรองผู้ร่างรัฐธรรมนูญ แต่เราสามารถผลักดัน 1 จาก 3 ข้อเสนอ คือสูตร ‘20 หยิบ 1’ ได้สำเร็จ จึงรับประกันได้ว่า การคัดเลือกผู้ร่างโดยรัฐสภาจะไม่ถูกผูกขาดโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และประชาชนยังมีส่วนร่วมได้บ้างในการกำหนดผู้ร่างผ่านคูหาเลือกตั้ง สส. เพราะหากประชาชนเลือก สส. จากพรรคใดเยอะ พรรคดังกล่าวก็ย่อมมีสิทธิในการคัดเลือกผู้ร่างที่มีจุดยืนเรื่องรัฐธรรมนูญใกล้เคียงกันได้เยอะขึ้น
อย่างไรก็ตาม มีกรรมาธิการบางท่านมีความกังวลว่า สูตร 20 หยิบ 1 อาจไม่ใช่ยาวิเศษเสียแล้ว เพราะประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วมคัดกรองผู้ร่างมาเบื้องต้น แต่ข้อเท็จจริงเรื่องนี้คือ คณะกรรมาธิการเสียงส่วนใหญ่ ร่วมถึงกรรมาธิการดังกล่าว ไม่ได้ลงมติเห็นชอบกับข้อเสนอของพรรคประชาชน ที่เสนอให้ประชาชนคัดกรองผู้ร่างมาเบื้องต้น 70 คน ก่อนส่งให้รัฐสภาคัดเหลือ 35 คน
นอกจากนี้ กรรมาธิการท่านอื่นก็ไม่ได้เสนอวิธีการอื่นๆ ที่จะป้องกันการผูกขาด มิหนำซ้ำร่างที่พรรคต้นสังกัดของกรรมาธิการดังกล่าวดังกล่าวเสนอ ก็กำหนดว่าในขั้นตอนสุดท้ายที่รัฐสภาคัดเลือก สสร. ให้รัฐสภาใช้เกณฑ์เสียงข้างมาก ซึ่งเสี่ยงต่อการผูกขาดกว่าสูตร 20 หยิบ 1
- ย้ำเดินหน้าตามไทม์ไลน์เดิม
พริษฐ์ยังชี้แจงว่า อาจมีบางฝ่ายพยายามสร้างความเข้าใจว่า ที่กรรมาธิการเสียงข้างมากไม่เติมประเด็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ตามข้อเสนอของกรรมาธิการจากพรรคเพื่อไทย จะทำให้ผู้มีความโยงกับประชาชนน้อยลง ซึ่งข้อเท็จจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น ยืนยันว่า สสร. จากกรรมาธิการพรรคเพื่อไทยเสนอมานั้น ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน และไม่ได้มีการลงมติว่า สสร. จะมีที่มาอย่างไร
พริษฐ์ยืนยันว่า ในสัปดาห์นี้ กรรมาธิการจากพรรคประชาชนจะทำอย่างเต็มที่ในการจูงมือทุกภาคส่วน เพื่อเดินหน้าพิจารณามาตราที่เหลืออยู่ของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด อย่างน้อยที่สุด ตามไทม์ไลน์การพิจารณาของชั้นกรรมาธิการ จะต้องแล้วเสร็จภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายน เพื่อให้รัฐบาลเปิดประชุมสมัยวิสามัญช่วงต้นเดือนธันวาคม ก่อนจะถึงวันที่ 12 ธันวาคม ที่จะประชุมสมัยสามัญ และกฎหมายยังกำหนดว่า หลังจากวาระ 2 เสร็จสิ้น ต้องทิ้งไว้ 15 วัน ก็สามารถพิจารณาวาระ 3 ได้เสร็จก่อนสิ้นเดือนธันวาธันวาคม
พริษฐ์เชื่อว่า เป็นไปได้ว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะผ่านวาระ 2-3 ได้ โดยยืนยันที่จะทำอย่างเต็มที่ในการจูงทุกภาคส่วนให้พิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเหลืออีก 2 สัปดาห์เต็มในการพิจารณา ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็จะทำให้การพิจารณาวาระ 2 เกิดขึ้นได้ในช่วงเปิดประชุมสมัยวิสามัญตามที่พรรคประชาชนเรียกร้อง และทำให้การพิจารณาวาระ 3 เสร็จสิ้นก่อนสิ้นเดือนธันวาคม
พริษฐ์ยังชี้แจงเพิ่มเติม เกี่ยวกับข้อเสนอของพรรคประชาชนในการเลือกคณะกรรมาธิการยกร่างฯ ว่า เสนอให้ประชาชนเข้าคูหาเพื่อเลือกตั้งผู้ร่างก่อน 70 คน และจากนั้นให้รัฐสภาคัดเลือกเหลือ 35 คน แต่ในชั้นกรรมาธิการแพ้โหวตประเด็นนี้ ทำให้กรรมาธิการเสียงข้างมากเสนอว่า จะเป็นการเปิดรับสมัครแทน ซึ่งพรรคประชาชนในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างน้อย ไม่ได้เห็นด้วยกับข้อสรุปเช่นนี้
- ยอมรับกลไกผู้รับรอง 100 ชื่อ มีทั้งข้อดีและข้อเสีย
พริษฐ์อธิบายว่า ปัจจุบันตัวร่างที่ได้ข้อสรุปมาว่า ให้รัฐสภาเป็นเจ้าภาพหลักในการออกแบบกระบวนการรับสมัครกรรมาธิการยกร่างฯ ในการแสดงวิสัยทัศน์ และรวบรวมข้อมูลเพื่อให้รัฐสภาคัดเลือก ส่วนคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะเข้ามารับผิดชอบในขั้นตอนการตรวจสอบคุณสมบัติ และลักษณะต้องห้าม ด้วยมีกรรมาธิการบางคนเสนอว่า กกต. เมื่อคุ้นเคยกับการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะสามารถช่วยแบ่งเบาภาระรัฐสภาในขั้นตอนนี้ได้ดี
ในประเด็นนี้ กรรมาธิการฯ ยังมีการพูดคุยกันว่า เมื่อให้เปิดรับสมัคร ผู้สมัครแต่ละคนควรต้องมีผู้รับรองไม่น้อยกว่า 100 คน ซึ่งพริษฐ์ยอมรับว่า มีทั้งข้อดีและข้อเสีย โดยกติกาดังกล่าวจะต้องหารือกันให้ตกผลึกภายในสัปดาห์นี้
พริษฐ์ชี้ว่า มุมหนึ่งบางคนมองว่ามีข้อดี เพราะเมื่อกรรมาธิการเสียงข้างมากตัดคูหาเลือกตั้งออกไป การให้ผู้สมัครแต่ละคนต้องมีการรับรองโดยประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง 100 คน เสมือนเป็นการวางเกณฑ์ว่าจะต้องให้ประชาชนเห็นชอบในการทำหน้าที่ในระดับหนึ่ง
อีกมุมหนึ่ง ก็มีข้อกังวลเกี่ยวกับข้อเสียว่า หากมีการกำหนดจำนวนผู้รับรองที่สูงเกินไป อาจจะทำให้ผู้สมัครที่อาจมีความสามารถ แต่ไม่ได้มีเครือข่ายที่จะลงชื่อสนับสนุน อาจจะถูกปิดกั้นการเข้าสู่กระบวนการ ซึ่งเรื่องนี้เองยังไม่ได้ข้อสรุป
“แต่ประเด็นที่หลายคนกังวลว่าจะเอื้อต่อการจัดตั้งหรือไม่ สิ่งหนึ่งที่คิดว่าน่าจะเป็นสิ่งที่กรรมาธิการหลายคนเห็นด้วยคือ หากจะคงไว้ซึ่งกลไกผู้รับรอง อาจจะต้องมีการเปิดเผยรายชื่อของผู้รับรองให้ประชาชนได้เห็น หากสมมุติว่ามีกระบวนการจัดตั้งที่หลายคนกังวล ประชาชนสามารถตรวจสอบได้ว่า มีรายชื่อเหมือนกัน สนับสนุนกลุ่มผู้สมัครกลุ่มเดียวกันหรือไม่” พริษฐ์กล่าว
- ย้ำ 20 หยิบ 1 วางกลไกรัดกุมทุกฉากทัศน์
สำหรับสูตร 20 หยิบ 1 ที่ สส. และ สว. รวมตัวกัน 20 คน เพื่อเลือกกรรมาธิการยกร่างฯ 1 คนนั้น พริษฐ์อธิบายว่า การรวมกลุ่ม 20 คนนั้น สมาชิกรัฐสภาสามารถรวมตัวได้อย่างอิสระ เป็นดุลยพินิจของสมาชิกรัฐสภาแต่ละคน ส่วนกรณีที่สมาชิกรัฐสภาไม่ครบ 700 คน หรือจับกลุ่มได้ไม่ลงตัว 20 คน ก็ได้มีการออกแบบบทบัญญัติรองรับไว้
ในกรณีนี้หากได้กรรมาธิการยกร่างฯ ยังไม่ครบ 35 รายชื่อ ในตำแหน่งที่เหลือจะเข้าสู่ที่ประชุมใหญ่ของรัฐสภา ให้สมาชิกรัฐสภาเสนอชื่อมาจำนวน 2 เท่า ของตำแหน่งที่ขาด เช่น หากขาด 2 คน ต้องมีการเสนอชื่อเข้ามา 4 คน และโหวตโดยใช้เสียงเกิน 2 ใน 3 ของรัฐสภาเลือกผู้มาเป็นกรรมาธิการยกร่างฯ เพื่อป้องกันไม่ให้เสียงข้างมากลากไป โดยยืนยันว่า ได้วางกลไกทุกอย่างอย่างรัดกุมที่สุดเพื่อให้รับมือกับทุกฉากทัศน์ที่จะเข้ามา


