×

เด็กโรคภูมิแพ้ ข้อความจากใจ และความฝันอันยิ่งใหญ่ของ วิว กุลวุฒิ

05.08.2024
  • LOADING...
วิว กุลวุฒิ

“วันนี้ผมจะชิงเหรียญทองโอลิมปิก”

 

เป็นข้อความของ วิว-กุลวุฒิ วิทิตศานต์ ที่ใช้หัวใจพิมพ์ทิ้งไว้ในวันสำคัญที่สุดในชีวิตของนักแบดมินตันหนุ่มวัย 23 ปี เมื่อต้องพบกับคู่ปรับแห่งชีวิตอย่าง วิกเตอร์ แอ็กเซลเซน นักแบดมินตันมือวางอันดับ 2 ของโลกชาวเดนมาร์ก แถมยังเป็นแชมป์เก่าเจ้าของเหรียญทองโอลิมปิกเกมส์ โตเกียว 2020 ด้วย

 

ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ง่ายเลยสักนิด 

 

และสุดท้ายถึงจะพยายามเต็มที่แล้ว แต่ก็ยังไม่อาจเป็นผู้ชนะได้ในวันนี้อยู่ดี

 

เพียงแต่ตลอดชีวิตของกุลวุฒิก็ไม่เคยมีช่วงเวลาไหนเลยที่ง่ายดาย ราคาที่ต้องจ่ายสำหรับความฝันนั้นมากมายกว่าที่คนภายนอกจะล่วงรู้

 

แค่จุดเริ่มต้นด้วยการเป็นเด็กอ่อนแอที่ป่วยด้วยโรคภูมิแพ้ก็ยากแล้ว

 

กุลวุฒิเดินทางมาสู่จุดนี้ได้อย่างไร และระหว่างทางเขาพบเจอกับอะไรบ้างกว่าที่จะได้เป็นเจ้าของเหรียญเงินโอลิมปิกคนแรกของไทย

 

 

วิว กุลวุฒิ

 

เจ้าเด็กอ่อนแอ

 

เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นจากการที่เด็กคนหนึ่งป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ อากาศเปลี่ยนก็หายใจได้ลำบาก ต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อยมากและเสียค่าใช้จ่ายสูงมาก

 

นั่นทำให้คุณพ่อตัดสินใจที่จะให้ วิว กุลวุฒิ เล่นกีฬาเพื่อให้สุขภาพแข็งแรงขึ้น ซึ่งจะเป็นของขวัญที่ดีที่สุดสำหรับลูกในวันข้างหน้า

 

กีฬาที่พ่อเลือกให้ก็ไม่ไกลตัวคือกีฬาแบดมินตัน เพราะพ่อเป็นครูสอนอยู่แล้ว โดยเป้าหมายในเวลานั้นมีเพียงแค่การตีลูกให้โดนก่อนจะได้โต้กันระหว่างพ่อลูก ไม่ได้มีอะไรที่มากหรือน้อยไปกว่านั้น

 

เพียงแต่สิ่งที่กุลวุฒิได้ไม่ใช่เพียงแค่ร่างกายที่ค่อยๆ แข็งแรงขึ้นตามลำดับ

 

แต่มันคือการตกหลุมรักกีฬาตีลูกขนไก่เข้าอย่างจัง และที่สำคัญคือเหมือนจะค้นพบพรสวรรค์ในตัวเองด้วย

 

จากการสอนของพ่อ วิวได้โค้ชจริงๆ คนแรกในชีวิตคือ โค้ชเป้ง-เมตไตรย์ อมาตยกุล ที่สอนสั่งทั้งวิชาของการตีแบดมินตันและวิชาชีวิตให้ โดยในแต่ละวันวิวจะต้องไปเรียนกับโค้ชเป้งที่โรงเรียนในย่านเสนาซึ่งอยู่ใกล้บ้าน

 

โค้ชเป้งยังทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองอีกคนในชีวิตของกุลวุฒิ ไปรับไปส่ง พาไปกินข้าว ทั้งสองคนใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแบบนี้อยู่นาน นานพอที่จะเรียกว่าความผูกพันนั้นลึกซึ้ง พระคุณของโค้ชยิ่งใหญ่จนไม่มีวันไหนเลยที่วิวจะไม่คิดถึงโค้ช

 

เพียงแต่เมื่อถึงจุดที่ต้องตัดสินใจในเส้นทางของชีวิต

 

อยากไปต่อหรือพอใจแค่นี้ในการเป็นนักแบดมินตัน

 

กุลวุฒิในวัย 11 ปีคิดว่าเขารู้แล้วว่าความฝันของเขาคืออะไร

 

 

สิ่งแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมกัน

 

ก้าวต่อไปคือการเดินทางสู่ ‘บ้านทองหยอด’ สำนักแบดมินตันอันดับหนึ่งของไทย ที่มีความเพียบพร้อมทุกด้านสำหรับการพัฒนานักตบลูกขนไก่ที่มีแววดีทุกคนให้ไปสู่การเป็นนักกีฬาชั้นเลิศ

 

จากการดูแลของโค้ชเป้ง กุลวุฒิย้ายมาอยู่ในความดูแลของ โค้ชเป้-ภัททพล เงินศรีสุข ที่สอนวิชาแบดมินตันที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นในแบบมืออาชีพ ซึ่งไม่ได้มีเพียงแค่เรื่องของการเล่นในสนามเท่านั้น แต่ทุกอย่างต้องเริ่มตั้งแต่การดูแลร่างกายของตัวเอง ซึ่งบ้านทองหยอดมีเครื่องไม้เครื่องมือและอุปกรณ์ในการเสริมสร้างร่างกายอย่างครบถ้วน และมีทีมสตาฟฟ์มืออาชีพที่มีความรู้และความเข้าใจในการสร้างนักกีฬาอย่างดี

 

สิ่งเหล่านี้ทำให้กุลวุฒิพัฒนาตัวเองอย่างรวดเร็วและเริ่มฉายแววโดดเด่น เริ่มจากการเป็นแชมป์แบดมินตันเยาวชนโลกถึง 3 สมัย ซึ่งเป็นคนแรกและคนเดียวที่ทำได้ เป็นสถิติเทียบเท่ากับ เมย์-รัชนก อินทนนท์ นักแบดมินตันสาวรุ่นพี่ที่เคยเป็นปรากฏการณ์ของวงการมาก่อน

 

นั่นทำให้เขาเริ่มมองเห็นความฝันของตัวเองชัดเจนมากยิ่งขึ้น แม้ว่าสิ่งที่ต้องจ่ายจะต้องเป็นการสละชีวิตวัยรุ่น เพื่ออุทิศตนในการเป็นนักแบดมินตันอย่างเต็มตัวก็ตาม

 

ชีวิตวัยรุ่นของกุลวุฒิจึงเป็นการซ้อมเช้า กลางวัน และเย็น สัปดาห์ละ 6 วัน ไม่ได้มีเวลาไปเที่ยวเตร่เหมือนกับใครเขา 

 

แต่สำหรับเจ้าตัวแล้วมันเป็นสิ่งที่เขายินดีจะแลกเปลี่ยน ไม่ใช่เพียงเพราะเพื่อตัวเอง แต่รายได้จากการลงแข่งขันสามารถช่วยเหลือจุนเจือแบ่งเบาภาระของครอบครัวได้ด้วย

 

วิว กุลวุฒิ

 

ครูที่ดีที่สุด

 

ในการเป็นนักกีฬานั้น การเตรียมความพร้อมของร่างกายถือเป็นสิ่งสำคัญ แต่สิ่งที่มีความหมายไม่น้อยไปกว่ากันคือเรื่องของจิตใจ

 

โดยเฉพาะกับกีฬาที่ต้องมีสมาธิกับตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ชนิดที่แทบจะต้องตัดทุกอารมณ์ความรู้สึกออกไปเพื่อตีให้ดีที่สุด หรือหากตีเสียก็ต้องหาทางกลับมาให้ได้เร็วที่สุด เรื่องของการควบคุมจิตใจจึงเป็นสิ่งสำคัญมากๆ

 

เรื่องนี้กุลวุฒิเรียนรู้มาตั้งแต่ช่วงแรกของการเป็นนักแบดมินตัน เพราะเวลาที่ต้องเจอกับนักแบดมินตันรุ่นพี่ที่เก่งกว่าและแกร่งกว่า บางครั้งความต้องการที่จะเอาชนะให้ได้กลับกลายเป็นการทำให้ทุกอย่างที่พยายามมาสูญเสียไป

 

แต่ความพ่ายแพ้ในช่วงแรกๆ นั้นคือครูที่ดีที่สุดที่ช่วยขัดเกลาเขาให้กลายเป็นคนที่เก่งขึ้นโดยไม่รู้ตัว

 

หนึ่งในจุดแข็งของกุลวุฒิคือ การเล่นตั้งรับที่เหนียวแน่น อดทน พยายามที่จะเล่นให้ละเอียดที่สุด ไม่เล่นตามอารมณ์ เรียกว่าถึงจะฝืนต่อธรรมชาติที่ชอบตีบุก แต่พอรับเหนียวแล้ว ทำให้คู่แข่งเองก็ต้องระวัง สุดท้ายคือการเปิดโอกาสให้เขาทำแต้มได้

 

กุลวุฒิเคยให้สัมภาษณ์ถึงเคล็ดลับของตัวเองว่า “เกมรุกจะทำให้เราชนะ แต่เกมรับจะทำให้เราได้แชมป์”

 

พูดสมกับเป็นนักแบดมินตันที่เป็นแฟนบอล (ทีม ‘หงส์แดง’ ลิเวอร์พูล) ตัวยงจริงๆ!

 

 

ความฝัน 3 ประการ

 

ถ้ากุลวุฒิเป็นนักเตะ ความฝันของเขาอาจจะเป็นการคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก แชมป์พรีเมียร์ลีก และแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 

 

แต่เพราะเขาเป็นนักแบดมินตัน ความฝันจึงมี 3 อย่าง และเป็นความฝันที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยตั้งแต่ยังเป็นนักแบดมินตันเยาวชน

 

3 แชมป์ที่กุลวุฒิปรารถนาที่สุดคือ แชมป์โลก, แชมป์ออลอิงแลนด์ และแชมป์สุดท้ายคือโอลิมปิก ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีนักแบดมินตันชายไทยคนไหนทำได้มาก่อน

 

ขั้นต่ำที่สุด เจ้าวิวของทุกคนก็พิชิต 1 ใน 3 เสาหลักของโลก ด้วยการคว้าแชมป์รายการชิงแชมป์โลกมาครองได้ในการแข่งเมื่อเดือนสิงหาคม 2023 ที่เมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ด้วยการเอาชนะ ไคโอ นาโอกะ คู่ปรับตลอดกาล ได้ 2-1 เกม

 

นอกจากจะเป็นนักแบดมินตันชายไทยคนแรกที่คว้าแชมป์โลกได้แล้ว เขายังแก้ตัวให้กับตัวเองที่พ่ายแพ้ในรอบชิงชนะเลิศให้กับ วิกเตอร์ แอ็กเซลเซน ในปี 2022 ได้อีกด้วย

 

เพียงแต่หากถามว่ารายการไหนที่อยากได้มากที่สุดใน 2 รายการที่เหลือ

 

ออลอิงแลนด์นั้นแข่งทุกปี แต่โอลิมปิกนั้นแข่ง 4 ปีครั้ง

 

คำตอบชัดเจนในตัวเองอยู่แล้ว

 

วิว กุลวุฒิ

 

แชมป์ที่อยากได้ที่สุด

 

กุลวุฒิรู้ดีว่าหลังคว้าแชมป์โลกซึ่งเป็นหนึ่งในความฝันมาได้ ความฝันอีกสองอย่างที่เหลือของเขาย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายแน่

 

โดยเฉพาะกับโอลิมปิกที่มีปัจจัยหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะไม่ใช่รายการที่แข่งขันกันทุกปี

 

‘ปารีส 2024’ คือโอลิมปิกครั้งแรกของเขา ที่เจ้าตัวรู้สึกว่านี่คือโอกาสที่ดีที่สุดในชีวิต

 

ไม่ใช่เพียงแค่วัย แต่ด้วยสภาพร่างกายและฟอร์มการเล่นที่ค่อยๆ กลับมาเข้าที่หลังหลุดฟอร์มไปช่วงหนึ่ง กุลวุฒิรู้ดีว่าเขามีโอกาสไม่ได้น้อยไปกว่าคู่แข่งที่แข็งแกร่งมากมายในรายการนี้

 

ทุกคนมีความหวังและมีโอกาสเหมือนกันหมด อยู่ที่ว่าใครจะควบคุมร่างกายและจิตใจตัวเองได้ดีกว่ากัน

 

เรื่องนี้พูดง่ายแต่ทำยาก เพราะแม้ไทยจะมีนักแบดมินตันรุ่นใหม่ที่เก่งกาจมากมาย แต่ไม่เคยมีใครที่เข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศได้อีกเลยนับจาก ‘ซูเปอร์แมน’ บุญศักดิ์ พลสนะ ที่เคยปักแผนที่ประเทศไทยบนเวทีโลกและปักกีฬาแบดมินตันไว้ในหัวใจของคนไทยในโอลิมปิกเกมส์ เอเธนส์ เมื่อปี 2004

 

แต่กุลวุฒิทำได้ เขาเอาชนะ ฉือหยู่ฉี มือ 1 ของจีนในรอบ 8 คนสุดท้าย ได้ผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ

 

ไม่เพียงเท่านั้น ยังเอาชนะ หลี่ซีเจี๋ย มือ 7 ของโลกจากมาเลเซียได้ในรอบตัดเชือกด้วย

 

นั่นทำให้เขากลายเป็นนักแบดมินตันไทยคนแรกที่เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศของสุดยอดรายการอย่างโอลิมปิกได้สำเร็จ

 

โดยที่มีเหรียญรางวัลการันตีแน่นอนแล้ว ขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นสีทองหรือสีเงินเท่านั้น

 

 

ข้อความที่ไม่ได้อ่าน

 

ไม่ว่าจะลงแข่งขันที่ไหนก็ตาม สิ่งที่กุลวุฒิยังทำอยู่เสมอและจะทำตลอดไปคือการส่งข้อความทางโทรศัพท์มือถือ

 

ข้อความนั้นสั้นๆ บอกเล่าว่าวันนี้เขาไปลงแข่งที่ไหนมา เจอกับใคร และเล่นเป็นอย่างไรบ้าง

 

ปลายทางของข้อความที่ส่งไปนั้นคือโค้ชเป้ง โค้ชคนแรกที่วิวรักและไม่มีวันลืม แม้ว่าวันนี้โค้ชเป้งจะจากไปร่วม 3 ปีแล้วก็ตาม

 

โค้ชคือคนที่รู้ว่าความฝันของเขาคืออะไร และโค้ชคือคนแรกๆ ที่เขาอยากให้ได้รับรู้ด้วยว่าวันนี้เจ้าเด็กภูมิแพ้ในวันนั้นก้าวมาได้ไกลถึงไหนแล้ว

 

วันนี้ก็เช่นกัน เขาต้องส่งข้อความถึงโค้ชเป้งเหมือนเดิม แต่เพิ่มเติมคือข้อความนั้นน่าจะทำให้โค้ชตื่นเต้นหน่อย

 

“วันนี้ผมจะชิงเหรียญทองโอลิมปิกแล้ว”

 

คู่แข่งนั้นแข็งแกร่ง วิกเตอร์ แอ็กเซลเซน เป็นแชมป์เก่า และเคยเป็นโจทก์เก่าที่เคยมีความหลังในนัดชิงแชมป์โลกเมื่อ 2 ปีก่อนด้วย และทั้งสองจะได้ตัดสินกันที่ Arena Porte de La Chapelle

 

และเชื่อว่าหลังจบการแข่งขัน วิวจะส่งข้อความหาโค้ชเพื่อบอกข่าวดีอีกสักครั้ง

 

อาจไม่ใช่ข่าวดีอย่างที่หวัง แต่อย่างน้อยลูกศิษย์คนนั้นในวันนี้ก็ได้ทำอย่างเต็มที่ที่สุดแล้ว

 

“ผมไม่ชนะวันนี้ แต่ผมได้เหรียญเงินโอลิมปิกนะครับ”

 

แม้ว่าจะไม่มีคำว่า ‘Read’ จากคนปลายทางแล้วก็ไม่เป็นไร หัวใจเขาจะยังบอกให้กด ‘Send’ อยู่ดี


 

ติดตามการแข่งขัน โอลิมปิก ปารีส 2024 – Paris 2024 Olympic Games ได้ที่

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X