หากไม่มีเขา วงการนักกีฬา ‘ทีมพาราไทย’ อาจไม่ได้มาไกลและได้รับการยอมรับเช่นวันนี้
ชื่อของ ประวัติ วะโฮรัมย์ ถูกอัญเชิญขึ้นหิ้งในฐานะสุดยอดนักกีฬาวีลแชร์เรซซิงที่ไม่เพียงแต่เก่งที่สุดของประเทศไทย แต่ยังเก่งที่สุดของโลกด้วย จากผลงานการเข้าร่วมแข่งขันพาราลิมปิกเกมส์ เวทีที่ยิ่งใหญ่ที่สุด มาแล้วถึง 6 สมัย จากซิดนีย์เกมส์ในปี 2000 จนถึงวันนี้พาราลิมปิกเกมส์ โตเกียว 2020
ล่าสุด ประวัติคว้าเหรียญเงินได้เพิ่มอีก 1 เหรียญ จากการแข่งขันประเภท 1,500 เมตรชาย รุ่น T53/54 ซึ่งแม้จะพลาดการป้องกันแชมป์อีกสมัย แต่เหรียญนี้ทำให้เขาเป็นเจ้าของสถิตินักกีฬาพาราไทยที่คว้าเหรียญรางวัลจากการแข่งขันพาราลิมปิกเกมส์มาครองได้มากที่สุด 7 เหรียญทอง 8 เหรียญเงิน และอีก 1 เหรียญทองแดง
เรียกได้ว่าเป็นตำนานที่มีลมหายใจอย่างแท้จริง และลมหายใจนั้นยังคงร้อนแรงเสมอ
แต่กว่าที่ประวัติจะมาถึงจุดนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะเมื่ออายุ 3 ขวบ ขาของเขาเริ่มผิดปกติจากการเป็นโปลิโอ จนสุดท้ายเขาสูญเสียความสามารถในการเดินไปในที่สุด และความบกพร่องทางร่างกายกลายเป็นปัญหา
เพราะเขาเข้ารับการศึกษาในโรงเรียนคนทั่วไป ประวัติกลายเป็นคนแปลกในสายตาเพื่อน อะไรที่เพื่อนทำได้ เขาไม่สามารถทำได้ และกลายเป็นความอึดอัดคับข้องใจ
“ทำไมต้องเกิดมาเป็นแบบนี้ด้วย ทำไมต้องเป็นภาระของคนอื่น?” คือสิ่งที่เด็กชายประวัติคิด รู้สึก และเก็บไว้ในใจ
แต่จุดเปลี่ยนสำคัญของเขาเกิดขึ้นเมื่อตอนอายุ 11 ปี เมื่อได้รับมอบทุนจากมูลนิธิอนุเคราะห์คนพิการในพระราชูปถัมภ์ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ให้เข้ารับการรักษาตัวและศึกษาต่อที่โรงเรียนศรีสังวาลย์
ที่โรงเรียนแห่งนี้เขาได้เห็นนักกีฬาวีลแชร์ลงฝึกซ้อม และมันกลายเป็นการจุดไฟในในตัวของประวัติที่อยากพิสูจน์ตัวเองว่า เขาสามารถจะเป็นนักกีฬาแบบคนอื่นได้ และเขาไม่ใช่คนป่วย
“เราอยากสู้เพื่อเอาชนะใจตัวเอง”
จากจุดนั้น…ประวัติไม่เคยหันหลังกลับไปอีกเลย แม้ว่าจะมีก้มหน้าเพราะความท้อแท้ที่ไม่เข้าใจว่าทำไมซ้อมหนักขนาดนี้ เหนื่อยสายตัวแทบขาด แต่ก็ยังไม่สามารถจะปั่นได้เร็วเหมือนรุ่นพี่ แต่สุดท้ายสิ่งที่เขาทำคือการเก็บรายละเอียดไว้ในหัว ตั้งคำถาม และพยายามหาคำตอบด้วยการปรับปรุงเทคนิคของตัวเอง
เพราะความฝันของเขาคือเวทีสูงสุดอย่างพาราลิมปิกเกมส์ ซึ่งด้วยความพยายาม ไม่ท้อ ไม่ถอย เพราะเป็นคนทัศนคติดีโดยพื้นฐาน ทำให้เขาก้าวไปติดทีมชาติสำเร็จ และได้โอกาสเดินทางไปสู่ความฝันด้วยการเข้าแข่งขันพาราลิมปิกเกมส์ครั้งแรกของเขาในปี 2000 ที่นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย
แล้วประวัติก็สร้างประวัติศาสตร์
เด็กหนุ่มวัย 19 ปี คว้าเหรียญทองมาได้ 2 เหรียญ จากการแข่งในคลาส T54 ระยะ 5,000 เมตร และระยะ 10,000 เมตร พร้อมเหรียญเงินอีก 1 เหรียญ
ประวัติกลายเป็นนักกีฬาคนพิการที่โด่งดังที่สุด ซึ่งไม่เพียงเพราะลีลาการแข่งที่เร้าใจเท่านั้น แต่ด้วยบุคลิกที่เข้มแข็ง ทำให้เขากลายเป็นไอดอลของคนมากมาย ไม่เฉพาะแค่คนที่มีความบกพร่องทางร่างกาย แต่รวมถึงคนที่มีร่างกายสมบูรณ์ด้วย
“ไม่มีอะไรดีกว่าการเป็นแรงบันดาลใจให้คนที่ท้อได้สู้ต่อไปอีกแล้ว” ประวัติเคยให้สัมภาษณ์ไว้
สิ่งสำคัญคือ ถึงจะสามารถได้เข้าแข่งพาราลิมปิกเกมส์แล้ว และทำได้เกินฝันด้วยการคว้าเหรียญทองมาครองได้แล้ว แต่เขาก็ไม่คิดจะหยุดหรือพอใจแค่นี้
ชายหนุ่มชาวจังหวัดสระแก้วยังคงทุ่มเทในการฝึกซ้อม ทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีของสังคม และพยายามทำให้วงการกีฬาของคนพิการได้รับการยอมรับและสนใจจากสังคมมากขึ้น
จากพาราลิมปิกเกมส์ครั้งแรกมาถึงครั้งนี้ที่เป็นครั้งที่ 6 นั่นหมายความว่าเขาอยู่บนรถวีลแชร์เรซซิงมามากกว่าค่อนชีวิต
ร่างกายอาจจะโรยราลง และเขาก็เคยเปรยว่า พาราลิมปิกเกมส์ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว โดยยังเหลืออีก 1 รายการ คือ วีลแชร์เรซซิง 800 เมตร คลาส T54 ที่อาจจะเป็นรายการสุดท้ายของนักกีฬาวัย 40 ปี
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำมามีคุณค่าต่อประเทศไทยอย่างยิ่ง และไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ประวัติจะได้รับการบันทึกในฐานะนักกีฬาวีลแชร์เรซซิงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
และในฐานะแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของชาวไทย
อ้างอิง: