วานนี้ (27 เมษายน) พันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ หรือ นอท หัวหน้าพรรคเปลี่ยน ให้สัมภาษณ์ถึงจุดยืนที่การก้าวสู่การเมืองเพราะสนใจและติดตามการเมืองจากการอ่านหนังสือพิมพ์มาตั้งแต่เด็ก และอ่านหนังสือ ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน ของ วินทร์ เลียววาริณ จนมองภาพการเมืองชัดขึ้น ทำให้เห็นว่าการเมืองประเทศไทยตลอด 80 กว่าปีไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง และกระทั่งปลายปี 2565 ถูกกลั่นแกล้ง ทำให้คิดว่าเป็นห่วงรุ่นลูกรุ่นหลาน จึงตัดสินใจแน่วแน่เข้าสู่การเมือง “อยากไปเป็นปากเป็นเสียงในสภาให้คนหาเช้ากินค่ำทุกคน ไม่ใช่เพื่อเป็นการเอื้อประโยชน์ให้ตนเองแต่อย่างใด”
โดยเฉพาะขณะที่คนรุ่นใหม่อยากได้ผู้นำในฝันที่สมบูรณ์แบบ เรียนจบต่างประเทศ มีชาติตระกูลดี พันธ์ธวัชระบุว่า ตนเองไม่สนใจ และถือเป็นอีกเหตุผลหนึ่งและเครื่องมือพิสูจน์ตัวเอง ให้รู้ว่าที่มาถึงตรงนี้ได้เพราะฉลาด ขยันหาโอกาสทำงาน และจะเดินหน้าหาเสียงโค้งสุดท้ายนี้ด้วยแคมเปญ ‘เลิกตอแหล แล้วพูดความจริง ลอตเตอรี่ โสเภณี บ่อน’
พันธ์วัชกล่าวด้วยว่า พรรคเปลี่ยนต้องการเข้าไปคุ้มครองผู้มีอาชีพโสเภณี ไม่ตราหน้า ด้วยการลงทะเบียนทำให้ถูกกฎหมาย ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย เรื่องบ่อนก็ควรพูดความจริงและทำให้ถูกกฎหมาย ดึงส่วยมาเป็นภาษีทั้งบ่อนแบบออนไลน์และออฟไลน์ โดยมั่นใจว่าสามารถควบคุมได้อย่างแน่นอน
ซึ่งนโยบายนี้ หากตนเองได้มีโอกาสก็อยากเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ อยากทำดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมจริงๆ ไม่ใช่ดิจิทัลเพื่อจับผิดคนเห็นต่าง ทั้งนี้ สิ่งแรกที่จะทำหลังได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) คือการพิมพ์สลากกินแบ่งรัฐบาลเพิ่ม เพื่อให้กลไกการตลาดควบคุมราคาขายให้เป็นธรรม และยังคงมีสลากดิจิทัล แต่ส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับนโยบายหวยใบเสร็จ หรือหวยบำเหน็จของบางพรรค เพราะเชื่อมั่นว่าทำไม่ได้ จึงอยากถามกลับว่า ถ้าประชาชนอยากได้บำเหน็จแต่ไม่เคยเล่นหวยก็ต้องมาซื้อหวย ซึ่งถือเป็นการมอมเมาอย่างชัดเจน
ส่วนการทำพรรคและส่งผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. เขต 7 จังหวัด 18 เขต และ ส.ส. บัญชีรายชื่อ 13 รายชื่อ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพรรคเพิ่งได้รับการรับรองก่อนเปิดรับสมัครไม่นาน แต่ก็เชื่อมั่นว่าในการเลือกตั้งรอบนี้จะมี ส.ส. ชนะการเลือกตั้ง และจะได้ ส.ส. ในระบบบัญชีรายชื่อ 7-8 คน ซึ่งจุดยืนวันนี้จะหาเสียง รับฟังเสียงประชาชนมากกว่าเดิม และจะร่วมกับงานกับพรรคที่ได้รับเสียงข้างมากจากประชาชน