วันนี้ (27 เมษายน) ปานปรีย์ พหิทธานุกร คณะทำงานด้านนโยบายเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย และอดีตผู้แทนการค้าไทย ชี้แจงถึงกรณีที่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เคยให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงเรื่องการเดินทางกลับประเทศไทยในวันรัฐประหารและถูกควบคุมตัว รวมถึงถูกอายัดธุรกรรมทางการเงิน โดยพาดพิงถึงชื่อของตนเอง ในช่วงปี 2549
โดยปานปรีย์กล่าวว่า ตนเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนการค้าไทยรับผิดชอบอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ โดยวันนั้น ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็มีภารกิจในการประชุมใหญ่ขององค์การสหประชาชาติ (UN) และตนเองก็ต้องไปปฏิบัติภารกิจด้วย ซึ่งระหว่างที่กำลังจะเดินทางไปสหรัฐอเมริกา เวลาประมาณ 10.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ก็มีข่าวว่า ประเทศไทยเกิดการรัฐประหาร จึงยกเลิกกำหนดการทั้งหมดและเดินทางกลับประเทศไทย
โดยช่วงเย็นของวันที่ 19 กันยายน 2549 เวลา 17.00 น. ได้เดินทางไปสนามบิน เพื่อขึ้นเครื่องบินกลับไทย
ปานปรีย์ระบุว่า ในขณะนั้นทักษิณยังเดินทางไม่ถึงสนามบินนิวยอร์ก แต่ทักษิณกลับมาถึงสนามบินเวลา 05.00 น. ของอีกวัน ทั้งหมดที่อยู่บนเครื่องบินต่างอ่อนล้า เพราะอยู่บนเครื่องบินตั้งแต่เวลา 17.00-05.00 น. หลังจากขึ้นเครื่องบินมีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งมาบอกกับตนเองว่า ฝากพิธากลับประเทศไทยด้วย เพราะขณะนั้นพิธาได้มาศึกษาต่อที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ซึ่งตนก็ไม่ได้ถามอะไรมาก เพราะเห็นเป็นนักศึกษา และไม่คิดว่าวันนี้จะมาเป็นนักการเมือง จากนั้นทั้งคณะก็ออกเดินทางจากนิวยอร์ก
เมื่อเครื่องบินมาถึงประเทศไทยก็ได้รับแจ้งว่า เครื่องน่าจะเข้าสนามบินดอนเมืองได้ ไม่น่ามีปัญหา และทักษิณเดินทางถึงกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษแล้ว แต่หลังจากที่เครื่องลงจอดที่สนามบินดอนเมืองได้ครึ่งชั่วโมง เครื่องจอดนิ่ง จึงประเมินสถานการณ์ว่าคงไม่สู้ดี ตนจึงเดินจากที่นั่งด้านหน้าไปท้ายเครื่องบิน และขณะนั้นตนเป็นหัวหน้าคณะด้วย ซึ่งมีนักข่าว เจ้าหน้าที่สำนักนายกรัฐมนตรี และข้าราชการหลายคนนั่งอยู่ ซึ่งตนได้เจอกับพิธา จึงบอกว่า ถูกยึดอำนาจเรียบร้อยแล้ว เครื่องบินลำนี้คงจะเข้าไปจอดที่ บน.6 และขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบ คิดว่าทหารคงไม่ทำอะไรกับคณะในเครื่องบินลำนี้ที่มาถึง
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า พิธาจะขึ้นเครื่องมาในฐานะผู้ช่วยของ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีในตอนนั้น หรือไม่ ปานปรีย์ระบุว่า ในขณะนั้นตนเองทราบเพียงว่าพิธาเป็นหลานของ ผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ เลขานุการส่วนตัวของทักษิณ จึงไม่ได้ติดใจอะไร เพราะเครื่องบินมีที่ว่าง ใครจะติดสอยมาด้วยก็ได้ ตนไม่ทราบเรื่องว่าพิธามาในฐานะผู้ติดตามใคร เพราะตนเองก็เป็นนักการเมืองคนหนึ่งที่มาทำงานในต่างประเทศ ใครจะอาศัยเครื่องบินกลับมาก็ไม่ทราบ นอกจากคนที่จะรู้จักกัน เช่น สื่อมวลชนบางส่วนที่คุ้นหน้ากันอยู่แล้ว และตนไม่ทราบว่าพิธาขึ้นเครื่องในฐานะทีมงานของสมคิดหรือไม่
ปานปรีย์ระบุอีกว่า เมื่อเครื่องมาถึงกรุงเทพฯ แล้ว หลังจากนั้นมีทหารชุดใหญ่ขึ้นมาตรวจบนเครื่องบิน ไม่นานก็ลงจากเครื่องไป และปล่อยทุกคนบนเครื่องบินออกมา ซึ่งตนเองถูกปล่อยตัวให้กลับบ้านทันที ไม่ได้ถูกเชิญตัวไปคุมขังหรือถูกคลุมถุงดำ แต่ของคนอื่นตนไม่ทราบ เพราะทุกคนต่างแยกย้ายกันออกไปแล้ว ทุกคนเดินตามหลังออกมา และบางส่วนก็ไปรอรับกระเป๋าเดินทาง ไม่เห็นมีปัญหา
“ที่พิธาให้สัมภาษณ์กับพิธีกรชื่อดังคนหนึ่งว่า ถูกจับคลุมถุงดำและกักขังหลายชั่วโมง ทั้งยังถูกอายัดบัญชีการเงินนั้น ข้อเท็จจริงผมก็ไม่สามารถทราบได้ ต้องไปถามพิธา แต่ผมไม่ถูกอายัดหรือถูกกระทำใดๆ เลย กลับบ้านเหมือนผู้โดยสารปกติทั่วไป ซึ่งตั้งข้อสังเกตว่า ณ ขณะนั้นเป็นหัวหน้าผู้แทนการค้าไทย เป็นนักการเมือง เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งในเครื่องบินลำดังกล่าวผมเป็นตำแหน่งที่สูงที่สุด” ปานปรีย์กล่าว
ปานปรีย์กล่าวด้วยว่า ตนเองไม่ทราบสถานะของพิธาในขณะนั้น ไม่ได้คิดอะไร คิดเพียงเป็นน้องคนหนึ่งไปเรียนเมืองนอก เป็นคนรุ่นใหม่ ซึ่งบอกไปว่า กลับมาเมืองไทยแล้วขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวที่สูญเสียพ่อ ซึ่งตนได้พูดกับพิธาแค่นั้น และไม่ได้เจอกันอีกเลยจนวันนี้ที่พิธาเป็นนักการเมือง