วันนี้ (28 เมษายน) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปานปรีย์ พหิทธานุกร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ทำหนังสือถึง เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เรื่องขอลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ โดยเนื้อหาระบุว่า
“ตามที่มีการปรับคณะรัฐมนตรีบางตำแหน่ง และปรากฏว่าผมยังคงดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอยู่เพียงตำแหน่งเดียวนั้น ผมมีความประสงค์จะขอลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และทุกตำแหน่งที่ได้รับมอบหมาย ตั้งแต่วันที่ 28 เมษายน 2567 เพื่อเปิดทางให้ท่านอื่นเข้ามาดำรงตำแหน่งแทน
“สาเหตุของการปรับผมออกจากรองนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ ผมเชื่อว่าไม่เกี่ยวกับผมไม่มีผลงานแน่นอน เพราะผมทุ่มเทการทำงานด้านต่างประเทศและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และตั้งใจทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มีนักลงทุนต่างชาติสนใจมาลงทุนมากขึ้นตามที่รัฐบาลได้แถลงผลงานไปแล้ว จนสามารถตอบสนองต่อนโยบายการทูตเศรษฐกิจเชิงรุกอย่างเด่นชัด วันนี้ไทยหวนกลับมาขึ้นบนจอเรดาร์ของโลก มีมิตรประเทศเพิ่มขึ้น และมีนักลงทุนต่างชาติสนใจมาลงทุนในไทยมากขึ้น
“นอกจากนั้น การให้ความสำคัญกับคนไทยในต่างประเทศ ผมยังไปเจรจาด้วยตัวเอง เพื่อนำคนไทยผู้ถูกจับเป็นตัวประกันในอิสราเอลกลับไทยได้ถึง 23 คน แรงงานไทย 8,000 คน และจากเล่าก์ก่ายในเมียนมาอีก 1,000 คน เปิดฟรีวีซ่ากับหลายประเทศ เพื่อให้คนไทยมีความสะดวกในการเดินทางมากขึ้น การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ชาวเมียนมา ฟื้นความสัมพันธ์กับอาเซียน สหภาพอียู อินเดีย และประเทศมหาอำนาจทั้งสหรัฐอเมริกา และจีน จนเกิดการเจรจา ลดความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์โลกในประเทศไทยอีกด้วย
“สุดท้ายนี้ผมหวังว่าการปรับคณะรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีครั้งนี้จะช่วยให้การบริหารราชการแผ่นดินมีประสิทธิภาพมากขึ้น โปร่งใส และรักษาผลประโยชน์ของชาติต่อไป
“ขอขอบพระคุณนายกรัฐมนตรีที่ให้โอกาสผมได้ทำงานกับรัฐบาลนี้มาช่วงเวลาหนึ่ง”
หลังจากปรากฏข่าวการยื่นหนังสือลาออก ปานปรีย์ได้เปิดเผยเหตุผลเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาตั้งใจทำงานเต็มที่ และเชื่อว่าผลงานของกระทรวงการต่างประเทศเป็นที่ประจักษ์ หวังว่าจะมีคนใหม่มาสานต่องานที่ยังต้องเดินหน้าต่อไป รู้สึกใจหาย แต่ก็ต้องรักษาหลักการบางอย่างไว้
นอกจากนี้ รายงานข่าวเผยว่ามีการพูดคุยทำความเข้าใจกันแล้วก่อนการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าการให้ปานปรีย์ดำรงตำแหน่งเพียงตำแหน่งเดียวคือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ไม่ใช่การลดบทบาท แต่เป็นการเปิดทางให้ทำงานและดูแลกำกับกระทรวงการต่างประเทศอย่างเต็มที่ ไม่ต้องมีภาระงานเพิ่มจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีที่ต้องกำกับดูแลหน่วยงานจำนวนมาก เช่น สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน, สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ, สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และกระทรวงต่างๆ ภายใต้การกำกับ
ซึ่งเดิมนั้นผลงานดีอยู่แล้วในด้านการต่างประเทศ โดยเจ้าตัวรับทราบ แต่ก็มีความไม่พอใจอยู่เล็กน้อย และล่าสุดปานปรีย์ได้ยกเลิกทุกภารกิจที่กระทรวงการต่างประเทศแล้วหลังยื่นหนังสือลาออก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ อาจดูแลกำกับบางหน่วยงานแทนปานปรีย์ ทั้งนี้ยังต้องรอการแบ่งงานรองนายกรัฐมนตรีจากนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง