วันนี้ (19 ตุลาคม) พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบบัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย แถลงข่าวให้ความเห็นถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญ (รธน.) นัดแถลงด้วยวาจา ปรึกษาหารือ ลงมติ และอ่านคำวินิจฉัยในวันที่ 20 ตุลาคมนี้ กรณีสมาชิกภาพของ ไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (10) ประกอบมาตรา 90 และ 91 วรรคหนึ่ง (5) หรือไม่ หลังยื่นขอเลิกกิจการพรรคตนเอง เพื่อย้ายไปสังกัดพรรคพลังประชารัฐ ว่าเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของประชาชน เนื่องจากไพบูลย์เป็นคนที่มีชื่อเสียง ซึ่งก่อนหน้านี้ไพบูลย์เป็นหัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูป ที่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาด้วยคะแนนเสียง 45,000 คะแนน ยังไม่ถึงเกณฑ์ขั้นต่ำที่ 70,000 คะแนน ดังนั้นจึงพูดได้ว่าไพบูลย์เข้ามาในตำแหน่ง ส.ส. โดยการปัดเศษ
สำหรับพรรคเสรีรวมไทยต้องได้คะแนนถึง 80,000 กว่าคะแนน ถึงจะได้ ส.ส. 1 คน ซึ่งไม่รวมบางพรรคการเมืองที่ได้คะแนนเสียงเพียง 35,000 คะแนนก็ได้ ส.ส. แล้ว จึงถือเป็นความอยุติธรรม ความสังเวชขององค์กรอิสระผู้มีหน้าที่รับผิดชอบ
พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์กล่าวอีกว่า ภายหลังการเข้ามาเป็น ส.ส. ไม่ถึง 1 ปี พรรคประชาชนปฏิรูปก็เลิกกิจการพรรคตัวเอง ซึ่งการเลิกพรรคจะไม่เหมือนกับกรณีการยุบพรรค เช่น พรรคอนาคตใหม่ หรือการถูกขับออกจากพรรค เช่น กรณีของ ศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ ส.ส. จังหวัดอุตรดิตถ์ หรือ พรพิมล ธรรมสาร ส.ส. จังหวัดปทุมธานี ที่จะต้องหาสังกัดพรรคการเมืองใหม่ภายใน 30 วัน แต่กรณีของไพบูลย์ที่เลิกกิจการพรรคตัวเองเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2562 ถัดจากนั้นเพียงแค่ 3 วัน คือวันที่ 9 กันยายน 2562 คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็ประกาศให้เลิกกิจการพรรคซึ่งก็เป็นไปตามที่ต้องการ คือเข้าไปเป็น ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งอยู่ในลำดับบัญชีรายชื่อเท่าไรก็ไม่ทราบ
“เมื่อไพบูลย์เข้าไปเป็นสมาชิกของพรรคพลังประชารัฐแล้ว แต่ตามกฎหมายก็จะต้องอยู่เป็นหัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูป เพื่อชำระบัญชีค่าใช้จ่ายจนเสร็จสิ้น ซึ่งจะต้องใช้ระยะเวลาอีกนาน เนื่องจากจะต้องส่งบัญชีกิจการพรรคให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินตรวจ เป็นผู้ตรวจสอบความเรียบร้อยตามกฎหมายอีกกว่า 180 วัน หรือภายใน 6 เดือน ซึ่งสามารถขอขยายเวลาได้อีก 180 วัน จนถึงขณะนี้ตั้งแต่วันที่ไพบูลย์ยื่นขอยกเลิกกิจการพรรคตนเองก็เป็นเวลากว่า 2 ปีแล้ว ซึ่งผมเห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง จึงยื่นเรื่องผ่าน ชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เพื่อส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย และในวันพรุ่งนี้ 20 ตุลาคม ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวแล้ว ผมก็อยากจะให้พี่น้องประชาชนและผู้สื่อข่าวร่วมกันติดตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่าจะมีบรรทัดฐานวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวอย่างไร” พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์กล่าว
พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ยังกล่าวด้วยว่า หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยโดยขัดต่อข้อกฎหมายต่างๆ จะทำให้เกิดปัญหาในประเทศเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก เช่น คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดว่าการกระทำของ ไพบูลย์ นิติตะวัน สามารถทำได้ จากนั้นในวันต่อมาวันที่ 21 ตุลาคม พรรคการเมืองใหญ่ที่มีเงินทุนที่เห็นว่าทำได้ก็จะซื้อทุกพรรคให้มารวมกับพรรคตนเอง เพื่อทำให้พรรคการเมืองตนเองได้เป็นรัฐบาลโดยไม่สนใจประชาชนผู้มีเสียงข้างมาก และอีกหนึ่งกรณีคือการขัดกันระหว่างผลประโยชน์อาจเกิดคดีความต่างๆ ตามมา
อย่างไรก็ตามหากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไม่ถูกต้อง ปัญหาจะเกิดกับประเทศไทยในอนาคตอย่างแน่นอน จึงไม่ใช่ปัญหาที่เล็ก และจะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับการเลือกตั้งในสมัยถัดไปด้วย เช่น คะแนนเสียงในการเลือกตั้งยังไม่ทันประกาศผล อาจเกิดการซื้อพรรคการเมืองกันแล้ว
ดังนั้นจึงต้องร่วมกันติดตามว่าการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นไปตามกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนหรือไม่