วันนี้ (22 เมษายน) แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงการเลื่อนเจรจากรณีกำแพงภาษีสหรัฐอเมริกา ออกไปจากเดิมวันที่ 23 เมษายนนี้ว่า มีการเลื่อนเนื่องจากทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องมีการคุยกันในเรื่องของมาตรการของการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ และทีมล่วงหน้ามีสาระสำคัญบางอย่างที่รีเควสต์กลับมาให้ทบทวนในเรื่องที่จะไปเจรจา จึงต้องมีการนัดกันใหม่อีกครั้ง
ส่วนที่ฝ่ายค้านมีข้อเสนอให้รัฐบาลรื้องบประมาณปี 2569 และเห็นด้วยหากรัฐบาลจะออก พ.ร.บ.กู้เงินเพื่อรับมือภาษีสหรัฐฯ นั้น ขอขอบคุณสำหรับคอมเมนต์ของฝ่ายค้าน ตนพร้อมรับฟังทุกความคิดเห็นและจะลองนำมาพิจารณาประกอบว่าจะเกิดผลอย่างไรบ้าง ซึ่งต้องคำนึงถึงผลกระทบในระยะยาว โดยจะให้ทีมทบทวนเรื่องนี้อีกที
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงโอกาสที่จะเดินทางไปสหรัฐอเมริกาเพื่อเจรจาด้วยตัวเองว่า จะต้องดูระดับของการคุยกันก่อนว่าเป็นอย่างไรบ้าง แต่ในส่วนของตนพร้อมอยู่แล้วที่จะไปพูดคุยเจรจา
นายกรัฐมนตรียืนยันว่าเราไม่ได้ช้าเกินไป เนื่องจากสหรัฐฯ ประกาศระยะเวลา 90 วัน ก่อนที่การขึ้นภาษีจะมีผล ซึ่งตอนนี้เราทบทวนและพูดคุยกับทีมเจรจาอย่างไม่เป็นทางการว่ามีเรื่องไหนบ้างที่เราจะควรคุยกัน เพราะบางเรื่อง เช่น ภาษีที่เขาเสียให้เราแพงเกินไปก็ดูว่าควรจะปรับให้สมเหตุสมผลหรือไม่ เช่นเดียวกับอีกหลายประเทศ ซึ่งขณะนี้ทีมทำงานกันอย่างเหน็ดเหนื่อยทุกคน แต่หวังว่าตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของประเทศจะเป็นไปตามเป้า
ส่วนผลจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ จะส่งผลให้รัฐบาลต้องทบทวนนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตหรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ตอนนี้ทุกอย่างยังเหมือนเดิมอยู่ ขอให้รอดูว่าเราจะทำอะไรได้บ้าง รวมถึงเรื่องการส่งออก
“เราพูดตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าการเจรจาของเรากับสหรัฐอเมริกาถึงแม้เราจะเป็นประเทศเล็กๆ แต่เราต้องเจรจาให้เหมือนกับว่าให้ประโยชน์เกิดขึ้นกับทั้งสองฝ่าย เราไม่ได้เจรจาเหมือนกับว่าเราเป็นประเทศเล็กมาก ต้องยอมทุกอย่าง การเข้าไปคุยต้องมีกระบวนการคิดที่เข้าไปคุยว่าเราพร้อมจะให้เขา เขาพร้อมจะให้เรา การที่ไปคุยไม่ใช่เทหมดหน้าตัก เพราะผู้ประกอบการกับเกษตรกรที่มีความสัมพันธ์กับจีนก็มีมากเช่นกัน ประเทศไทยมีความสัมพันธ์อันดีกับทั้งสองประเทศมหาอำนาจเราก็อยากจะให้เป็นอย่างนั้นต่อไป เพราะฉะนั้นทั้งสองประเทศเราต้องบาลานซ์ให้ดี” นายกรัฐมนตรีกล่าว
ส่วน ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้มีการทำเรื่องขอออกนอกประเทศเพื่อไปพูดคุยเรื่องนี้หรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เรื่องนี้ยังแต่มีการติดต่ออย่างไม่เป็นทางการอยู่เรื่อยๆ กับทีมทำงาน ไม่ใช่กับตัวประธานาธิบดี
สั่งเร่งแก้ระเบียบเหยื่อแผ่นดินไหว
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เรื่องการเยียวยาเหตุการณ์แผ่นดินไหว จะมีการตามหลักเกณฑ์กรมบัญชีกลางที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง โดย ครม. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรมบัญชีกลาง กรมป้องกันและป้องกันสาธารณภัย กรมโยธาธิการ และกรุงเทพมหานคร เร่งหาแนวทางที่เป็นไปได้ในการแก้ไขระเบียบ และข้อกฎเกณฑ์ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น และจะต้องไม่ซ้ำซ้อนกับเงินประกันที่อาคารต่างๆ ที่ได้รับความเสียหายได้รับจากบริษัทประกันภัย
ไทย-กัมพูชา เห็นชอบ MOU แก้มลพิษข้ามแดน
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ครม. เห็นชอบ และอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงสิ่งแวดล้อมแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา กับ ทส. ว่าด้วยเรื่องมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อเสริมสร้างในความร่วมมือทางการ ป้องกันและลดผลกระทบจากมลพิษข้ามแดน ทั้งทางอากาศ ทางน้ำ ขยะมูลฝอย ขยะอันตรายและรูปแบบอื่นๆ ของมลพิษ ผ่านการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ข้อมูล และแนวทางการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันมลพิษข้ามแดน
ครม. อนุมัติ 7.4 พันล้านจัดการน้ำรับภัยแล้ง
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ครม. อนุมัติตามที่สำนักทรัพยากรน้ำเสนอ เรื่องงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 ใช้งบกลางเพื่อการดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริการจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้ง วงเงิน 7.4 พันล้านบาท จำนวน 2,478 รายการ ผ่านกระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงกลาโหม เช่น การขุดเจาะบ่อบาดาล ก่อสร้างปรับปรุงระบบประปา การหาแหล่งน้ำ ต้นทุนก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง การติดตั้งระบบสูบน้ำ การขุดลอกคูคลอง
ครม. อนุมัติเงินช่วยเหลือน้ำท่วมปี 2567
นอกจากนี้ ครม. อนุมัติ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝนปี 2567 เพิ่มเติม จำนวน 781.88 ล้านบาท จากงบกลางปี 2568 เพื่อนำไปใช้จ่ายให้กับกลุ่มผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝนปี 2567 จำนวน 86,876 ครัวเรือน ในพื้นที่ 17 จังหวัด
สหรัฐฯ ยกระดับบินไทยขึ้น Category 1 นายกฯ ชี้ มีผลดีเที่ยวบินไปอเมริกา
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ครม. ได้รับรายงานจาก สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ว่า หน่วยงานกำกับด้านการบินสหรัฐอเมริกา (SAA) ได้ยกระดับการบินของประเทศไทย จาก Category ระดับ 2 เป็น Category ระดับ 1 ซึ่งจะส่งผลดีต่อไทย เมื่อเดินทางไปสหรัฐฯ จะมีความสะดวกมากขึ้น โดยสายการบินจากประเทศไทยจะได้รับอนุญาตสามารถบินตรงเข้าสหรัฐฯ ได้เลย ซึ่งจะทำให้มีเที่ยวบินเพิ่มมากขึ้น และลดค่าใช้จ่ายการเดินทางได้ถูกลง อีกทั้งจะทำให้ประเทศไทยพัฒนาสนามบินและสิ่งอำนวยความสะดวกให้เป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาคได้มากขึ้น