จากกรณีที่ประธานวุฒิสภาได้ทำหนังสือถึงศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน ที่ผ่านมา ขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรค 3 ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นนายกรัฐมนตรีของ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่
สำหรับกรณีขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) และ (5) คือ ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง
หลังแพทองธารยอมรับว่าคลิปเสียงสนทนาเป็นของตนกับสมเด็จฯ ฮุน เซน จริง และมีเนื้อหาพาดพิงแม่ทัพภาคที่ 2 รวมถึงมีพฤติกรรมบ่งบอกเป็นคนทรยศขายชาติ ทำให้กระทบอธิปไตยไทย กองทัพ ประชาชน ตามที่พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา สมาชิกวุฒิสภา ออกแถลงการณ์ และในเวลาต่อมา พล.อ.สวัสดิ์ และสมาชิกวุฒิสภา รวม 36 คน ได้ยื่นหนังสือต่อประธาน เพื่อให้ส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญนั้น
ล่าสุดวันนี้ (1 กรกฎาคม) ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์รับคำร้องไว้พิจารณา และมีมติเสียงข้างมาก 7ต่อ 2 เสียง ให้ แพทองธาร ชินวัตร หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี จนกว่าจะมีคำวินิจฉัย
เปิดคำสั่งให้นายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องแล้วเห็นว่า กรณีเป็นไปตาม รัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรค 3 ประกอบมาตรา 82 วรรค 1 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 7 (4) ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ มีคำสั่งรับ คำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย แจ้งผู้ร้องทราบ และให้ผู้ถูกร้องยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับ สำเนาคำร้องตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 54
สำหรับคำขอให้สั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีนั้น ศาลรัฐธรรมนูญมีมติโดยเสียงข้างมาก (7 ต่อ 2) เห็นว่า ปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่าผู้ถูกร้องมีกรณีตามที่ถูกร้องตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรค 3 ประกอบมาตรา 82 วรรค 2 มีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีนับแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไปจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย แจ้งให้ผู้ร้องและผู้ถูกร้องทราบ
สำหรับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อย จำนวน 2 คน คือ นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ และ อุดม สิทธิวิรัชธรรม เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องยังไม่ยุติชัดเจน ให้ปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่าผู้ถูกร้อง มีกรณีตามที่ถูกร้องตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๅึจ วรรค 3 ประกอบมาตรา 82 วรรค 2 แต่เพื่อป้องกันความเสียหาย ที่จะเกิดขึ้นอย่างร้ายแรงที่ยากแก่การแก้ไขเยียวยาในภายหลัง ให้ใช้มาตรการหรือวิธีการชั่วคราวก่อนการวินิจฉัยตาม พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 71 ห้ามมิให้ผู้ร้องใช้ หน้าที่และอำนาจด้านความมั่นคง ด้านการต่างประเทศ และด้านการคลัง จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย
นายกฯ น้อมรับคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญให้หยุดปฏิบัติหน้าที่
หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งรับคำร้องของสมาชิกวุฒิสภา (สว.) จำนวน 36 คน กรณีคลิปเสียงสนทนาระหว่าง แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับ สมเด็จฯ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา และอดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมมีคำสั่งให้แพทองธารหยุดปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นการชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย
แพทองธารระบุว่า ขอน้อมรับคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ และจะหยุดปฏิบัติหน้าที่ตามที่ศาลมีคำสั่ง แม้ยังไม่แน่ใจว่าจะใช้เวลานานเพียงใด แต่ได้รับเวลาชี้แจงประมาณ 15 วัน ซึ่งจะพยายามชี้แจงให้ชัดเจนที่สุดถึงเจตนาที่แท้จริงของการสนทนาในคลิปเสียง ว่าทำไปเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและเพื่อรักษาอธิปไตย รวมถึงเพื่อชีวิตของเจ้าหน้าที่ทหารทุกนาย เพื่อสันติภาพในประเทศไทย
“อาจมีคนที่ไม่เห็นด้วยกับวิธีการ แต่ดิฉันจะพยายามพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นความตั้งใจและความพยายามเกิน 100% ที่จะทำเพื่อประเทศชาติ โดยไม่มีเจตนาหาผลประโยชน์ส่วนตัว สิ่งสำคัญคือไม่อยากให้เกิดความวุ่นวายหรือการปะทะกันที่ทำให้ทหารต้องบาดเจ็บหรือเสียชีวิต”
แพทองธารกล่าวย้ำว่า หากฟังคลิปเสียงด้วยความตั้งใจ จะเห็นว่าไม่มีเจตนาร้าย พร้อมระบุว่า หากมีประเด็นใดสามารถชี้แจงเพิ่มเติมได้ ก็พร้อมชี้แจงอย่างเต็มที่
นอกจากนี้ ยังได้กล่าวขอบคุณประชาชนที่ส่งกำลังใจมาตลอดทั้งคืน และขอโทษพี่น้องคนไทยทุกคนหากรู้สึกไม่สบายใจหรือไม่พอใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมยืนยันว่าทุกการกระทำมาจากความตั้งใจที่จะทำเพื่อประเทศชาติ
“แม้ในช่วงเวลาที่หยุดปฏิบัติหน้าที่ ก็ยังขอยืนยันว่าจะทำหน้าที่เพื่อประเทศชาติต่อไปในฐานะประชาชนคนไทยคนหนึ่ง และพร้อมจะทำงานเพื่อบ้านเมืองเต็มที่ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งหรือสถานะใดก็ตาม”
สุริยะ ขึ้นรักษาการนายกฯ มีอำนาจเต็ม
หลังมีพระบรมราชโองการ ประกาศโปรดเกล้าฯ คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ โดยมีรายละเอียดระบุให้ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พ้นจากตำแหน่ง และไปดำรงตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รวมถึง นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ที่พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีศึกษาธิการ, สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล ที่พ้นจากตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ไปดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และ เดชอิชม์ ทองขาว ที่พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
ทำให้ทั้ง 4 คนจะต้องรอการเข้าเฝ้าถวายสัตย์ในวันที่ 3 กรกฎาคมนี้ จึงจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ เนื่องจากหากมีการปรับตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งแม้อีกตำแหน่งไม่ได้ปรับ ตามหลักก็จะต้องพ้นจากตำแหน่งเดิม
ขณะเดียวกันสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้เตรียมแผนรองรับ หากศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องสว.และมีคำสั่งให้นายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่ จากกรณีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฯ ฮุน เซน
สำหรับรองนายกรัฐมนตรีที่จะเข้ามานั่งปฏิบัติหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรีแทน คือ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ซึ่งจะมีอำนาจเต็มจะต้องนำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อแต่งตั้งรองนายกรัฐมนตรีให้สามารถสั่งการเกี่ยวกับแต่งตั้งบุคลากรและงบประมาณได้
ทั้งนี้มีรายงานว่า ในส่วนของเลขาธิการคณะรัฐมนตรีมีความกังวล เนื่องจากไม่เคยเกิดเหตุการณ์นายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่ระหว่างการนำคณะรัฐมนตรีใหม่เข้าเฝ้าถวายสัตย์ฯ โดยเฉพาะในส่วนของรักษาการนายกรัฐมนตรีที่จะต้องนำคณะรัฐมนตรีใหม่เข้าเฝ้าแทนนายกรัฐมนตรี โดยเรื่องนี้ได้มีการปรึกษาสำนักงานเลขาธิการกฤษฎีกาแล้ว