วันนี้ (13 มกราคม) แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุมเห็นชอบหลักการร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. …. หรือเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยมีสาระเป็นการกำหนดให้มีกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร เช่น มีคณะกรรมการสถานบันเทิงครบวงจร คณะกรรมการบริหารจัดตั้งสำนักงานสถานบันเทิงครบวงจร และมีการกำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน วัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มการท่องเที่ยวในประเทศ ส่งเสริมการลงทุนในประเทศ แก้ปัญหาการพนันที่ผิดกฎหมายในปัจจุบัน และทำให้เกิดผลดีในอนาคต เป็นหนึ่งในการสนับสนุนการท่องเที่ยวยั่งยืนตามที่เคยแถลงนโยบายต่อรัฐสภา
ปรับคำ เน้นส่งเสริมท่องเที่ยว
นายกฯ ยืนยันว่า ในที่ประชุมสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาให้ความเห็นเฉยๆ ไม่ได้ขวาง แค่อยากปรับคำให้เข้ากับที่ตนเองแถลงต่อรัฐสภาว่าจะเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว
ส่วนเป้าหมายจะเป็นปีนี้เลยหรือไม่นั้น นายกฯ กล่าวว่า กำลังพยายามผลักดัน ต้องรอดูว่ากระบวนการจะผ่านอย่างไร ซึ่งถ้าเกิดขึ้นเร็วก็จะเกิดผลดีกับประเทศในอนาคต เพราะประเทศสิงคโปร์มีคาสิโน 10% นอกนั้นก็เป็นท่องเที่ยว 80-90% ทำให้การท่องเที่ยวเจริญเติบโตและ GDP สูงขึ้นอย่างมาก
สำหรับข้อกังวลเรื่องมาเฟียนั้น นายกฯ ระบุว่า ต้องอยู่กับความเป็นจริง ทุกวันนี้มีการพนันผิดกฎหมายเต็มไปหมด ฉะนั้นการส่งเสริมการท่องเที่ยวจะเป็นการแก้ปัญหาผู้มีอิทธิพล ทำให้กฎหมายครอบคลุมชัดเจน ชีวิตประชาชนปลอดภัย และเงินที่ได้ก็เป็นภาษีเข้าประเทศ
“ต้องมองว่าโลกปัจจุบัน ถ้าเอาทุกอย่างมาทำให้โปร่งใสได้ก็จะเป็นประโยชน์ให้กับประเทศ เป็นเรื่องใหม่ในประเทศเรา เป็นเรื่องความเปลี่ยนแปลง แต่ไม่เป็นไร เราต้องสื่อสารบ่อยหน่อย ฝากสื่อมวลชนถามคำถาม และจะให้กระทรวงต่างๆ ชี้แจงรายละเอียด เพื่อให้เข้าใจภาพรวมพร้อมกัน” นายกฯ กล่าว
คาดลงทุนแห่งละ 1 แสนล้านบาท สร้างรายได้ 1.2-1.4 แสนล้านบาท
ด้าน จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม. มีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งเป็นไปตามแนวนโยบายแห่งรัฐข้อที่ 7 คือ การส่งเสริมการท่องเที่ยว เพิ่มแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น สวนน้ำ, สวนสนุก, การค้า ที่ครบวงจร นำเอาคอนเสิร์ต, เทศกาล, กีฬาระดับโลก มาจัดในประเทศไทย ที่ไม่ใช่เป็นการทำคาสิโนอย่างเดียวเท่านั้น แต่เป็นแหล่งท่องเที่ยวครอบครัว
โมเดลนี้ประสบความสำเร็จหลายแห่งทั่วโลก เช่น โอซาก้า ญี่ปุ่น, ยูเออี, เนวาดา สหรัฐอเมริกา, มาเก๊า และสิงคโปร์ ที่สามารถสร้างเม็ดเงินเข้าสู่ประเทศ สร้างรายได้ให้กับรัฐ 20 ปีต่อมาได้เพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวและสร้างการจัดเก็บรายได้ให้กับรัฐอย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้ คาดว่าจะมีการลงทุนไม่ต่ำกว่าแห่งละ 1 แสนล้านบาท และเมื่อเปรียบเทียบกับสิงคโปร์ที่ลงทุนไป 2 แสนล้านบาท และเฟสที่ 2 เพิ่งทำสัญญาการลงทุนไป สามารถดึงดูดการลงทุนเพิ่ม 3 แสนล้านบาท และสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว 1.2-1.4 แสนล้านบาท สร้างการเติบโตของนักท่องเที่ยว 20%
ส่วนไทยคาดว่าจะเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ 5-10% เพราะโครงสร้างทางด้านเศรษฐกิจของไทยต่างจากสิงคโปร์ และกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยวหรือโลว์ซีซันไม่น้อยกว่า 13% และจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวหรือไฮซีซัน และโลว์ซีซัน เพิ่มการใช้จ่ายจากนักท่องเที่ยวไม่น้อยกว่า 20,000 บาทต่อคน เกิดการจ้างงานไม่น้อยกว่า 9,000-15,000 ตำแหน่ง เพิ่มขึ้น 0.3-0.5% สร้างรายได้ให้รัฐไม่น้อยกว่า 1.2-4 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นรายได้ที่เกิดจากการพนัน (ส่วนน้อย) อีกส่วนเป็นรายได้จากการโรงแรมและธุรกิจอื่นๆ เช่น สวนสนุก และสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ที่จะนำไปพัฒนาประเทศ เงินนี้จะเข้าสู่การเยียวยา และเพื่อควบคุมการพนันที่ผิดกฎหมายต่อไป
คาด กฤษฎีกาพิจารณาอีก 1-2 เดือน ก่อนส่งสภา
จุลพันธ์กล่าวอีกว่า หลังจากนี้จะส่งไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อตรวจร่างกฎหมายและปรับแก้ตามแนวนโยบายแห่งรัฐตามที่ได้แถลงต่อรัฐสภาต่อไป เชื่อว่าจะใช้ระยะเวลาอีกประมาณ 1-2 เดือน ก่อนจะกลับไปสู่สภาผู้แทนราษฎร สุดท้ายอำนาจก็จะไปอยู่ที่รัฐสภาในการวินิจฉัยในการปรับเพิ่ม ปรับแก้ เพื่อให้บังคับใช้กฎหมายอย่างมีคุณภาพ บรรลุวัตถุประสงค์ในการสร้างเม็ดเงินใหม่ๆ เข้าประเทศ และแก้ปัญหาการพนันผิดกฎหมาย