วันนี้ (16 มิถุนายน) ที่บ้านพิษณุโลก แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังกัมพูชาไม่ร่วมมือกับไทยในการแก้ไขปัญหาความตึงเครียดบริเวณชายแดน และเดินหน้านำเรื่อง 4 จุดข้อพิพาทเข้าสู่การพิจารณาของ ICJ ว่า ในที่ประชุมเห็นตรงกันว่าการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) เป็นผลสำเร็จที่ได้พูดคุยกันและยอมรับกรอบการประชุม ที่ผ่านมามีการพูดคุยทุกระดับ ทั้งหน้างานจนถึงนายกฯอย่างต่อเนื่อง
วันนี้ที่ประชุมได้ตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจ เพื่อติดตามสถานการณ์เป็นทีมไทยแลนด์ โดยจะให้ พล.อ. ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม นำทีมมอนิเตอร์ข้อมูลข่าวสารทั้งหมดเพื่อดำเนินการต่างๆ ขณะเดียวกันกรณีที่กัมพูชาเดินหน้านำเรื่อง 4 จุดข้อพิพาทเข้าสู่การพิจารณาของ ICJและศาลโลกนั้น ยืนยันว่าประเทศไทยไม่ยอมรับในเรื่องศาลโลก ซึ่งตอนนี้มีการตั้งทีมทำงานและหาข้อมูลต่างๆ ว่าจะสามารถปกป้องประเทศ ตั้งรับ หรือตอบโต้อะไรยังไงบ้าง ซึ่งตอนนี้ๆมีข้อมูลครบในเรื่องของกฎหมายและประวัติความเป็นมาไว้หมดแล้ว
ส่วนกรณีสมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ประกาศจะปิดด้านชายแดนทุกด่าน ในที่ประชุมได้หารือเรื่องนี้หรือไม่ นายกรัฐมนตรียืนยันว่า เราไม่ได้ปิดเพียง แต่กำหนดเวลาการเปิด-ปิดเปลี่ยนไปจากเดิม และในการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) มีการพูดคุยและปรับให้เข้ากับสถานการณ์ ซึ่งทั้งไทยและกัมพูชาต่างกำหนดเวลาในการเปิด-ปิดด่าน
นายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า ได้พูดคุยกับ พล.อ. ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา มาตลอด ครั้งแรกคือวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา ตกลงความเห็นร่วมกันว่าเราต้องการสันติภาพระหว่างสองประเทศ ไม่ต้องการความขัดแย้ง ต้องการรักษาชีวิตของประชาชน รวมถึงไม่ต้องการให้เสียเลือดเนื้อของทหารทั้งสองประเทศ คือสิ่งที่เห็นตรงกันและพูดคุยกันมาในกรอบทวิภาคี แน่นอนว่าการพูดคุยกันหลังไมค์ แต่สิ่งที่สื่อสารออกมาทางโซเชียลที่นอกกรอบ และเป็นการสื่อสารที่ไม่มืออาชีพทำให้เกิดความวุ่นวายในการจัดการ การสื่อสารแบบนี้ทำให้เกิดผลลบกับทั้งสองประเทศ
การที่จะประกาศเรื่องการปิดด่านเลยส่งผลกระทบต่อประชาชนทั้งสองประเทศ เราห่วงใยทั้งเรื่องการค้าขายตรงนั้น ถ้ามีการปิดด้านทั้งหมดมันกระทบ เราแค่ปรับเวลาและได้แจ้งทางกัมพูชาว่าจะมีการประชุมในวันนี้เพื่อรายงานผลว่าเราจะดำเนินการอย่างไรต่อไป รวมถึงได้ส่งข้อความถึงนายกฯกัมพูชาเสนอให้มีการจัดประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) ซึ่งเป็นการประชุมระดับกองทัพของทั้งสองประเทศ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ปฏิกิริยาหลังการประชุม JBC ไทยพยายามใช้วิธีเจรจาแบบทวิภาคี แต่เหมือนกัมพูชาไม่มีความจริงใจในการพูดคุยแบบนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การประชุม JBC ถือเป็นผลสำเร็จ ไม่มีปัญหาอะไรอย่างที่กระทรวงการต่างประเทศแถลงมาในเนื้อความทุกอย่างเราได้ชี้แจงแล้ว ไม่ได้ติดขัดหรือพลิกล็อกอะไรทั้งสิ้นใน JBC
ส่วนที่ตอนนี้กัมพูชากำลังเล่นสงครามข่าวสารจะมีการรับมืออย่างไร นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การสื่อสารแบบนี้ไม่ได้เกิดผลดีกับทั้งสองประเทศ การปล่อยข่าวและข่าวที่ออกมาหลายๆ ข่าวได้มีการตกลงกันแล้วว่าอย่าเพิ่งปล่อยข่าว เพราะเราจะต้องคุยกันต้องดูคนหน้างานด้วยว่าตรงนั้นเป็นอย่างไร เกิดอะไรขึ้นบ้าง
การที่เรากำหนดเวลาเปิด-ปิดด่านใหม่ ในตอนแรกเป็นเพราะว่ามีอาวุธหนักอาวุธระยะไกลเริ่มมีจำนวนมากขึ้น เราจึงต้องมีกำหนดเวลาเปิด-ปิดด่าน เพราะมีประชาชนทั้งสองประเทศอยู่บริเวณดังกล่าวจำนวนมาก การที่เอาอาวุธใหญ่ออกมาแบบนั้นถ้าเราไม่มีกำหนดเวลาเปิด-ปิดด่าน หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจะเกิดความเสียหายมากมาย
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะทำให้ทั่วโลกรู้ได้อย่างไรว่าแผ่นดินเราใช้กลไกทวิภาคี เราไม่ได้ขี้โกงเอาแผ่นดินของใคร นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า อันนี้ถูกจารึกเป็นลายลักษณ์อักษร ไม่ว่าจะการประชุม JBC หรือสิ่งที่ตนเสนอไปให้มีการประชุม RBC ไม่ใช่เกิดขึ้นแค่ว่าคุยกันแล้วแยกย้าย แต่สิ่งที่เราประชุมทั้งหมดนี้จะต้องถูกจารึกเป็นลายลักษณ์อักษรและทั่วโลกสามารถรับรู้ได้ว่าเราตกลงอะไรกันบ้าง ที่จริงแล้วรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศก็ได้มีการคุยกับทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายนว่าเราต้องการอะไร เราจะทำอย่างไร
“เรามูฟมาตลอด แต่สิ่งที่เราอาจจะทำน้อยกว่าเขาคือการสื่อสารออกสู่สาธารณะ เพราะเราเคารพการเจรจาระหว่างประเทศ เราเคารพกรอบทวิภาคี เราให้เกียรติทั้งสองประเทศว่าสิ่งที่คุยควรจะเป็นสิ่งที่เป็นทางการและอยู่ในกรอบทวิภาคี ตรงนี้เป็นสิ่งที่ทุกประเทศเมื่อมีการติดต่อสื่อสารจะต้องยึดกรอบทวิภาคีเป็นสำคัญ ถ้ามีการสื่อสารที่ไม่เป็นทางการเกิดขึ้น เราต้องบอกจุดยืนของเราเช่นกันว่าเราไม่เคยที่จะยั่วยุหรือพูดเพื่อให้เกิดการปะทะใดๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ”
นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า ตนเป็นนายกรัฐมนตรีถ้าอยู่ตรงนี้แล้วเกิดการปะทะกันอย่างรุนแรงตรงชายแดนต้องรับรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ต้องมีการคุยกับทหารด้วยว่าพร้อมหรือไม่ ไม่ใช่จู่ๆจะมีเรื่องก็สามารถจุดให้ไฟมันติดแบบนี้ได้เลย ตรงนี้คือกรอบที่เราทุกคนต้องยึด แน่นอนว่าการปล่อยข่าวหรือปล่อยคำพูดอะไรออกมาที่ไม่เป็นทางการและส่งผลกระทบ ขอย้ำอีกครั้งว่าไม่เป็นผลดีกับทั้งสองประเทศ
เมื่อถามต่อว่า รัฐบาลจะทำอย่างไรเมื่อกัมพูชาเล่นสงครามข่าวสารแบบนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ชี้แจงค่ะ คนไทย ประเทศไทย นายกรัฐมนตรี กองทัพ ที่ประชุมวันนี้เห็นตรงกันเราต้องปกป้องอธิปไตย แต่จะทำอย่างไรให้ยืดการปะทะ การเสียเลือดเนื้อให้ออกไปไม่ให้เกิดขึ้น และยังคงต้องรักษาอธิปไตยของเราไว้ พร้อมย้ำด้วยว่า รัฐบาลและกองทัพคุยกันทุกเรื่อง ตนให้เกียรติกองทัพเสมอเพราะเป็นคนหน้างาน และเป็นคนรู้ในเรื่องของอาวุธทุกอย่าง
“ดิฉันขอย้ำอีกครั้งว่ารัฐบาลกับกองทัพไม่มีปัญหากัน และขอให้ทุกคนช่วยซัพพอร์ต กองทัพกับรัฐบาลให้เป็นหนึ่งเดียวกัน เพราะวันนี้เราไม่ได้ต่อสู้กันเอง เรารักษาอธิปไตยของเราไว้ เราพูดในข้อความที่มันตรง พูดในข้อความที่รู้ได้ว่าประเทศไทยเป็นปึกแผ่นและเราก็จะไม่ยอมให้ใครมากลั่นแกล้ง ให้ใครมาใส่ร้าย ให้ใครมาขู่ เราก็เป็นประเทศที่มีศักดิ์ศรีเช่นกัน เราก็เป็นประเทศแข็งแรงเช่นกัน จุดนี้เองจะทำให้เราทุกคนรู้ว่า วันนี้ถ้าไม่เคารพกฎกติกาก็จะไม่ถูกยอมรับโดยทั่วโลก”