วันนี้ (6 มีนาคม) ปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ซึ่งทำหน้าที่ประธานระหว่างการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. …. ได้ชี้แจงต่อที่ประชุมสภาถึงกรณีการเดินทางไปทำเนียบรัฐบาลเพื่อติดตามร่าง พ.ร.บ. ที่คงค้าง เมื่อวันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา
ปดิพัทธ์กล่าวว่า ไม่ได้เป็นการบุกทำเนียบ เป็นเพียงคำพูดที่สื่อมวลชนใช้กัน โดยก่อนเดินทางไปทำเนียบรัฐบาลตนได้ทำหนังสือขอเข้าแล้ว และทำหนังสือขอทราบผลการดำเนินการต่อร่าง พ.ร.บ. เกี่ยวกับการเงินจำนวน 35 ฉบับ เพื่อขอทราบว่าเริ่มต้นปี 2567 สภาผู้แทนราษฎรจะสามารถพิจารณาร่าง พ.ร.บ. ที่เกี่ยวข้องกับการเงินและไม่เกี่ยวข้องกับการเงินได้กี่ฉบับ
แจงไทม์ไลน์ชัด ทำตามขั้นตอน
ต่อมาวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ตนได้ทำหนังสือถึงสำนักเลขาธิการสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อขอเข้าเยี่ยมชมการศึกษาขั้นตอนการดำเนินการต่อร่าง พ.ร.บ. ที่เกี่ยวกับการเงิน จนได้หนังสือตอบกลับมาเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ จากรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ซึ่งไม่ปรากฏรายละเอียด และไม่ได้คำตอบตามที่ตนได้ถามไป
ปดิพัทธ์กล่าวว่า ตนจึงได้ทำหนังสือแจ้งไปอีกครั้งหนึ่งว่าจำเป็นที่จะต้องเดินทางไปทำเนียบรัฐบาล เพื่อติดตามร่างกฎหมายเพื่อจัดการในเรื่องนี้ให้มีความโปร่งใส
ต่อมาวันที่ 29 กุมภาพันธ์ได้รับหนังสือจากรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองแจ้งกลับมา ซึ่งหากสรุปใจความแล้ว คือไม่ต้องไป เดี๋ยวทางทำเนียบจะมาชี้แจงเอง จนกระทั่งตนตัดสินใจเดินทางไปทำเนียบ ซึ่งในช่วงเช้าได้ให้ฝ่ายเลขาฯ ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว เพื่อยืนยันจุดประสงค์หลักฐานตามแชตไลน์ปรากฏทั้งชื่อคนมาต้อนรับและตำแหน่ง ซึ่งเมื่อไปถึงสถานที่จริงกลับไม่ได้รับการต้อนรับตามที่คุยในแชต ตามภาพที่เห็นว่าทุลักทุเล
‘ครูมานิตย์’ ถามใช้สิทธิข้อไหนบุกไปทำเนียบ
ต่อมา ครูมานิตย์ สังข์พุ่ม สส. จังหวัดสุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นถามว่า การที่เดินทางไปทำเนียบเป็นหน้าที่ของคนที่เป็นรองประธานสภาและเป็นไปตามข้อบังคับการประชุมข้อไหน และได้รับมอบหมายจากประธานสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่ ท่านประธานนั่งอยู่บนบัลลังก์ เป็นคนรุ่นใหม่มีความรู้ ไม่เชื่อว่าไม่อ่านรัฐธรรมนูญหรือไม่อ่านข้อบังคับ
ครูมานิตย์ระบุอีกว่า “เป็นประวัติศาสตร์ของการเมืองที่ฝ่ายนิติบัญญัติขับรถและมีตำรวจนำเปิดไฟโร่ไปบนถนน เพื่อไปทำเนียบแล้วไปสอบถาม ผมอยากทราบเจตนา”
ระหว่างนั้นมี สส. พรรคก้าวไกลลุกขึ้นประท้วงจนครูมานิตย์กล่าวว่า “อย่าประท้วงเลย ไม่มีประโยชน์หรอกน้อง เอาความจริงมาพูดบ้างเถอะ ไอ้หนู”
ต่อมา สส. พรรคก้าวไกล ลุกขึ้นขอให้ปดิพัทธ์เดินหน้าพิจารณาตามระเบียบข้อบังคับการประชุมคือการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ต่อ
ทำให้ปดิพัทธ์ขอใช้สิทธิชี้แจงว่า เมื่อเช้าตนโดนไล่ให้ไปลาออก เรื่องนี้สำคัญ ต้องชี้แจง และขอใช้เวลาชี้แจงไม่นานแน่นอน
สส. ประท้วง ขอให้ถอนคำพูด ‘ไอ้หนู’
ต่อมา รังสิมันต์ โรม สส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ลุกขึ้นประท้วงครูมานิตย์ ว่าใช้คำว่า ‘ไอ้หนู’ กับเพื่อน สส. เช่นนี้ได้อย่างไร ตนให้ความเคารพและรู้จักกับครูมานิตย์มานาน แต่การมาใช้คำว่า ไอ้หนู เป็นการไม่เคารพกัน
“สส. จะ 1 สมัย จะ 5 สมัย จะ 10 สมัย เราเท่ากัน ท่านจะมาใช้คำพูดหยาบคายแบบนี้เพื่อด้อยค่าเรื่องคุณวุฒิแบบนี้ไม่ได้ นี่คือสิ่งที่ท่านประธานต้องวินิจฉัยและต้องบอกให้ครูมานิตย์ถอน นี่คือสิ่งที่ผมรอคอยและอยากเห็น” รังสิมันต์กล่าว จนทำให้ครูมานิตย์ต้องถอนคำพูดไป
หวั่น 4 ปี กม. ของ สส. ค้างไม่ถึงโต๊ะนายกฯ
ท้ายที่สุดปดิพัทธ์ได้กล่าวปิดท้ายว่า ประเด็นเรื่องบุกทำเนียบรัฐบาล ตนไม่ได้บุก และไม่ได้เป็นการไปให้เซ็นหรือไม่เซ็น แต่เป็นการไปเพื่อติดตามความเห็นของหน่วยงาน ซึ่งต้องทำความเข้าใจให้ตรงกัน
“ผมไม่มีอำนาจในการกดดันให้นายกฯ พิจารณาหรือไม่พิจารณา แต่ผมไปขอดูความคืบหน้าของหน่วยว่าเป็นไปได้หรือไม่ ถ้าหน่วยงานไม่สามารถให้ความเห็นได้เลยตลอดเวลา 4 ปี กฎหมายที่เพื่อน สส. เสนอมาก็จะไม่ได้รับการพิจารณาถึงโต๊ะนายกฯ แน่นอน” ปดิพัทธ์กล่าว
ปดิพัทธ์กล่าวอีกว่า สำหรับคำถามว่าได้รับอนุญาตจากประธานสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่นั้น ตนได้รับมอบหมายให้ดูแลกิจการของสภาในการตราและบรรจุกฎหมาย ฉะนั้นจึงทำตามข้อบังคับการประชุมข้อที่ 9 (2)