วันนี้ (20 กันยายน) ที่รัฐสภา ปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 แถลงชี้แจงกรณีที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์การใช้งบประมาณเพื่อไปดูงานที่ประเทศสิงคโปร์ว่า โครงการนี้เป็นหนึ่งในแผนงานที่ถูกกำหนดไว้แล้ว จากการประชุมทั้งในส่วนของกรรมการชุดใหญ่ กรรมการขับเคลื่อน และอนุกรรมการ ที่เห็นภาพและรายละเอียดพ้องกันที่จะพัฒนาสภาให้เป็นสากลให้ได้ คือการไปศึกษาดูงานในประเทศที่ไม่ไกลเกินไป และเริ่มต้นจากประเทศที่เป็นพันธมิตรในระดับอาเซียน จึงเลือกประเทศสิงคโปร์
ปดิพัทธ์กล่าวต่อว่า โดยงบประมาณที่ได้ตั้งไว้ครั้งแรกก็เป็นไปตามระเบียบการคลัง ในส่วนค่าใช้จ่ายของรองประธานสภาคนที่ 1 ดังนั้นกรณีที่หลายคนกังวลว่า งบประมาณที่ตั้งไว้นั้นสูงเกินไปหรือไม่ ข้อเท็จจริงคือเป็นการตั้งในตอนที่เรายังไม่ได้จองโรงแรม จองตั๋วเครื่องบินจริง และยังไม่สามารถลงรายละเอียดได้ เจ้าหน้าที่โครงการจึงตั้งโครงการและงบประมาณตามสิทธิที่อยู่ในระเบียบทุกประการไว้ก่อน ซึ่งค่าใช้จ่ายจริงบางส่วนก็สามารถเปิดเผยได้ในวันนี้ และจะเปิดเผยแบบละเอียดได้ในช่วงที่เดินทางกลับมา
คณะเดินทางประกอบด้วย 3 ส่วน ส่วนที่หนึ่งเป็นส่วนของกรรมการ ซึ่งมีตนเอง, ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล, วรภพ วิริยะโรจน์ สส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นคนที่ตนตั้งใจจะให้ไปดูเรื่องของระบบสารสนเทศ ระบบฐานข้อมูลโปร่งใส เพราะเราจะได้มีโอกาสไปเยี่ยม Government Technology ของสิงคโปร์ด้วย โดยพาเฉพาะบุคคลที่เหมาะสมกับงานไปเท่านั้น
ส่วนที่สอง ตอนที่ตั้งคณะทำงานขึ้นมายังไม่มีฝ่ายค้านและรัฐบาล และยังไม่มีคณะกรรมาธิการกิจการรัฐสภา ซึ่งเราได้พูดคุยว่า หากเรากำหนดหมายดูงานได้แล้วจะเชิญประธานกรรมาธิการกิจการสภาไป และให้ประธานกรรมาธิการกิจการสภาได้เลือกสรรหรือคัดเลือกคนในกรรมาธิการเดินทางไปด้วยกัน แต่เนื่องจากยังไม่มีกรรมาธิการกิจการสภา ตนจึงใช้วิธีแบ่งคร่าวๆ ว่าเป็นฝ่ายค้านและรัฐบาล ซึ่งก็ยังไม่มีความชัดเจนในวันที่ตนแบ่ง ผลจึงออกมาเป็น สส. จากพรรคก้าวไกลที่แสดงความจำนงไว้ 3 คนแรก ว่าอยากทำงานในกรรมาธิการกิจการสภา
และยังได้เชิญพรรคการเมืองใหญ่อย่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทยให้ร่วมเดินทางไปด้วย แต่ด้วยสถานการณ์ทางการเมืองตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา มีสมาชิกที่ไม่มีความพร้อม ไม่ได้ส่งชื่อ จึงมีพรรคเพื่อไทย 2 คน พร้อมทั้งได้ไปทาบทามพรรคภูมิใจไทยด้วย แต่ไม่สามารถส่งรายชื่อได้ในเวลาที่กำหนด ทำให้ปรากฏรายชื่อทั้งหมด 12 คนที่เดินทางไปด้วยกันในครั้งนี้ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่สภา 4 คน จากทั้งฝ่ายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและทีมทำงานของเลขาธิการรองประธานสภา
สำหรับค่าใช้จ่ายจริงที่เกิดขึ้นได้สรุปออกมาแล้วว่า ค่าตั๋วเครื่องบินจากที่ตั้งไว้ตามสิทธิ 52,000 บาท เราจองจริงได้ในราคา 28,000 บาท และจะส่งส่วนที่เหลือคืนคลังทั้งหมด ค่าโรงแรมตามสิทธิเบิกได้ 12,500 บาท จองจริง 9,000 บาท เราพยายามประหยัดให้ได้มากที่สุด แต่ในฐานะที่ตนทำหน้าที่เป็นทูตของสภา การเยี่ยมคารวะ การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รวมถึงการเลี้ยงรับรองบุคคลต่างๆ ที่เข้าพบ ก็ต้องรับรองให้สมเกียรติกับประเทศไทยด้วย
ในส่วนของงบรับรองที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่ามากเกินไปหรือไม่นั้น ปดิพัทธ์กล่าวว่า ตอนที่ตั้งงบประมาณไว้เรายังไม่ทราบโปรแกรมอย่างละเอียด ยังไม่ได้มีการหักออก เช่น เมื่อสถานทูตเลี้ยงรับรองเรา เราจะหักส่วนนี้ออกจากเบี้ยเลี้ยงของคณะที่ไป ทำให้จ่ายเบี้ยเลี้ยงไม่เต็ม หรือในกรณีที่เราไปพบปะกับคนงานไทย นักศึกษาไทยในสิงคโปร์ ตนก็ใช้งบรับรองนี้ในการดูแลและรับประทานอาหารง่ายๆ ร่วมกัน หักลบกลบหนี้แค่ไหน เท่าไร อย่างไร ส่งกลับคืนคลังทั้งหมด โดยตนยินดีที่จะแสดงใบเสร็จทั้งหมดว่าใช้ไปอย่างไรบ้าง
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า มีการตั้งข้อสงสัยว่าเป็นการล้างท่องบประมาณหรือไม่ เพราะเป็นช่วงปลายปีงบประมาณ ปดิพัทธ์กล่าวว่า งบประมาณที่จัดไว้ประมาณล้านเศษ เทียบกับงบประมาณที่ค้างมีมหาศาล ถ้าต้องการล้างท่อจริงๆ ต้องไปประเทศที่มีค่าใช้จ่ายมากกว่านี้ เราใช้เท่านี้ไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นการเคลียร์ท่อ เราวางแผนตั้งแต่ต้นเทอม ซึ่งมาพอดีกันในช่วงเดือนกันยายน
สำหรับที่หลายฝ่ายตั้งข้อสงสัยว่าเหตุใดต้องไปวันเสาร์และวันอาทิตย์นั้น ปดิพัทธ์กล่าวว่า ภารกิจ ภาระงานในรัฐสภา ทำให้ตนเองมีความจำเป็นต้องอยู่ในสภาเต็มเวลาวันจันทร์-ศุกร์ ทำให้การจัดทริปเช่นนี้ปลอดภัยที่สุดในตอนที่เราไม่รู้วาระการประชุม หากประธานสภามอบหมายให้ตนดำเนินการประชุมในวันพุธหรือวันพฤหัสบดี ตนก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เราจึงเริ่มเดินทางในช่วงเย็นของวันพฤหัสบดี และพร้อมทำงานในวันศุกร์ เพราะฉะนั้นการทำงานที่เกี่ยวข้องกับรัฐสภาสิงคโปร์ ทั้งการเยี่ยมคารวะและการติดต่อราชการ จะเกิดขึ้นในวันศุกร์และวันจันทร์ที่เป็นวันทำการของสิงคโปร์ ส่วนในวันเสาร์และวันอาทิตย์นั้น เราได้ติดต่อหรือขอความช่วยเหลือไปยังสถานทูตไทยในสิงคโปร์ สถานทูตจึงเป็นผู้จัดการให้เราไปดูงานในสถานที่ต่างๆ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การเดินทางไปดูงานที่ต่างประเทศจะขัดกับนโยบายของพรรคก้าวไกลที่เคยหาเสียงไว้ว่าจะลดงบส่วนนี้นำไปเป็นสวัสดิการหรือไม่ ปดิพัทธ์กล่าวว่า ยังคงเป็นนโยบายเดิม แต่การดูงานในไทยของกระทรวงต่างๆ จะเห็นชัดเจนว่าในชั้นการอบรมสัมมนางบประมาณที่ใช้มหาศาล แต่ไม่สามารถตอบกลับมาเป็นผลสัมฤทธิ์ได้
พร้อมยกตัวอย่างการไปดูงานที่ประเทศฝรั่งเศส แต่ไม่มีอะไรที่นำกลับมาใช้ได้ จึงต้องตั้งคำถามถึงผลสัมฤทธิ์ นโยบายการไปดูงานต้องประหยัด คุ้มค่า ไม่ใช่วัฒนธรรมการดูงาน แต่เป็นจุดประสงค์ของการไปดูงาน ซึ่งคิดว่าพรรคก้าวไกลก็เห็นด้วยกับตนในการไปดูงานครั้งนี้ และภายหลังจากการไปดูงานต้องตอบคำถามของสังคมได้
ดังนั้นการวิพากษ์วิจารณ์ของข้าราชการหลายท่านตอบไม่ได้เลยว่าดูไปแล้วได้อะไร หรือหลายท่านมองว่าผมอยากไปเที่ยวหรือไม่ ผมต้องบอกว่าประเทศสิงคโปร์ไม่ใช่ประเทศท่องเที่ยว ผมไปดูงานจริงๆ ไปดู Smart Parliament และคิดว่าถ้าสิ่งที่ผมทำได้รับการตรวจสอบและสามารถพิสูจน์ได้ถึงผลลัพธ์ของการดูงาน ก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงมาตรฐานของการดูงานในประเทศไทยได้เช่นเดียวกัน
“หากเราทำโครงการอะไร ต้องตรวจสอบกับทางสำนักเลขาฯ ก่อนว่ามีงบประมาณในการดำเนินการหรือไม่ ซึ่งทางสำนักเลขาฯ แจ้งว่ามีงบประมาณ ซึ่งได้ประสานกับการทูตและการต่างประเทศว่ามีงบประมาณ 1,300,000 บาท ผมจึงมีหน้าที่ในการจัดโปรแกรมอย่างไรก็ได้ให้ไม่เกินงบ และต้องเป็นการบริหารจัดการเงินให้ต่ำกว่างบประมาณที่ได้มา” ปดิพัทธ์กล่าว
ส่วนเรื่องของผู้ติดตามที่เดินทางไปดูงานที่ต่างประเทศนั้น ปดิพัทธ์ระบุว่า สำหรับโครงการนี้มีผู้ติดตามเพียงท่านเดียวคือ ไกลก้อง ไวทยการ ซึ่งเป็นอดีตกรรมาธิการกิจการสภา และเป็นผู้ที่ศึกษาเรื่องนี้โดยตรง โดยการใช้จ่ายของผู้ติดตามจะเป็นการออกค่าใช้จ่ายโดยส่วนตัวเองทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับงบประมาณของสภา ใครก็ไปได้ แต่ต้องออกเอง และต้องไม่กระทบต่อแผนการดูงานของสภา