เช้าวานนี้ (10 ตุลาคม) เวลา 10.00 น. ปดิพัทธ์ สันติภาดา สส. พิษณุโลก เขต 1 อดีตสังกัดพรรคก้าวไกล แถลงเตรียมสมัครสมาชิกพรรคเป็นธรรม หลังถูกขับออกจากพรรคก้าวไกลเมื่อวันที่ 28 กันยายนที่ผ่านมา
กัณวีร์ สืบแสง สส. บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรคเป็นธรรม แถลงข่าวที่รัฐสภาต้อนรับปดิพัทธ์ ที่พ่วงมาพร้อมตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 เข้าร่วมเป็นสมาชิกพรรคเป็นธรรม
ก่อนหน้านี้ปดิพัทธ์เคยโพสต์เหตุผลที่เลือกเข้าพรรคเป็นธรรมเพราะหลักการ 3 ข้อ สนับสนุนการปฏิรูปรัฐสภาให้โปร่งใส ประสิทธิภาพสูง และเป็นของประชาชน ไม่ตระบัดสัตย์ ผลักดันการแก้รัฐธรรมนูญใหม่จากประชาชน และสนับสนุนกระบวนการสันติภาพที่แท้จริงในภาคใต้
ปดิพัทธ์ถูกขับเพราะอะไร
ปดิพัทธ์ถูกวางตัวเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร ภายหลังพรรคก้าวไกลชนะเลือกตั้งกว่า 14 ล้านเสียง เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 และประกาศเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคเพื่อไทยและอีก 6 พรรคการเมือง รวม 312 เสียง
ทว่าเก้าอี้ประธานสภาผู้แทนราษฎรอยู่ในเกมแย่งชิงระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลมาโดยตลอด กระทั่งก่อนลงมติเพียงไม่ถึง 24 ชั่วโมง ชื่อของ วันมูหะมัดนอร์ มะทา สส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชาติ ในฐานะ ‘คนกลาง’ ถูกโยนมากลางวงเจรจา และจบลงด้วยการส่ง วันมูหะมัดนอร์ มะทา นั่งเก้าอี้ประธานสภาอีกสมัย และให้ปดิพัทธ์นั่งรองประธานสภาคนที่ 1 ส่วนรองประธานสภาคนที่ 2 เป็นของ พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน สส. เชียงราย พรรคเพื่อไทย
ในเวลาต่อมาเมื่อพรรคก้าวไกลต้องมาเป็นฝ่ายค้าน แม้ในช่วงแรก พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และ สส. บัญชีรายชื่อ ที่อยู่ระหว่างการหยุดปฏิบัติหน้าที่จะปฏิเสธการเป็นผู้นำฝ่ายค้าน แต่ภายหลังพรรคก้าวไกลมีท่าทีเปลี่ยนไป จากการลาออกจากหัวหน้าพรรคก้าวไกลของพิธา เพื่อเปิดทางให้มีหัวหน้าพรรคคนใหม่ที่เป็น สส. ตามเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญปี 2560 เดินหน้ารับตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร
หลังการขึ้นสู่ตำแหน่งหัวหน้าพรรคก้าวไกลคนใหม่ของ ชัยธวัช ตุลาธน ในที่สุดวันที่ 28 กันยายน พรรคก้าวไกลก็มีมติขับปดิพัทธ์ออกจากสมาชิกพรรค หลังพรรคก้าวไกลยืนยันเดินหน้าเป็นฝ่ายค้านโดยสมบูรณ์ ส่วนปดิพัทธ์อยากทำหน้าที่รองประธานสภาต่อไป แต่ในท้ายแถลงการณ์การขับปดิพัทธ์ระบุว่า “แม้ปดิพัทธ์จะไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคก้าวไกลอีกต่อไป แต่เขาจะยังขับเคลื่อนนโยบายตามที่ได้เคยให้คำมั่นสัญญาไว้ก่อนถูกรับเลือกโดยสภาผู้แทนราษฎร และต้องวางตนเป็นกลางต่อทุกพรรคการเมืองในการปฏิบัติหน้าที่ตามที่ถูกกำหนดในรัฐธรรมนูญ มาตรา 80”
พรรคเป็นธรรมคือใคร หรือเป็นพรรคสาขาสองของก้าวไกล
พรรคเป็นธรรมจดทะเบียนก่อตั้งพรรคเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2561 โดยใช้ชื่อในการจดว่า ‘พรรคกลาง’ จนกระทั่งวันที่ 27 กันยายน 2563
เปลี่ยนมาใช้ชื่อเป็นธรรมจนถึงปัจจุบัน
ปัจจุบันมี ปิติพงศ์ เต็มเจริญ และ กัณวีร์ สืบแสง เป็นเลขาธิการพรรคและปาร์ตี้ลิสต์หนึ่งเดียวของพรรค จากการกวาดคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ โดยเฉพาะในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีนโยบายและลงพื้นที่หาเสียงอย่างหนัก
พรรคเป็นธรรมเป็นที่รู้จักในวงการหลัง พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ระบุในการแถลงข่าวหลังการเลือกตั้งเพียง 1 วัน คือวันที่ 15 พฤษภาคม 2566 ว่าพรรคก้าวไกลจะชวนพรรคเป็นธรรมเข้ามาเป็นหนึ่งในพรรคร่วมรัฐบาลในขณะนั้น เนื่องจากมีนโยบายที่สอดคล้องและมีนโยบายด้านสันติภาพจังหวัดชายแดนภาคใต้
“ถ้านี่คือเกมที่จะสกัดคุณพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี และบีบพรรคก้าวไกลไปเป็นฝ่ายค้าน ผมก็พร้อมยืนเคียงข้างพรรคก้าวไกลไปเป็นฝ่ายค้านด้วยกัน เพื่อยืนยันในเสียงของประชาชน” คำประกาศลั่นของกัณวีร์ก่อนรัฐสภาโหวตนายกรัฐมนตรีครั้งที่ 2 และลงเอยด้วยการจับมือกันเป็นฝ่ายค้านในปัจจุบัน
ส่วนข้อหาเป็นพรรคสาขาของพรรคก้าวไกล กัณวีร์ปฏิเสธมาโดยตลอด แม้แต่ช่วงการแถลงข่าวต้อนรับปดิพัทธ์เข้าพรรคเป็นธรรม เขาก็ยังยืนยันคำเดิม
“เราทำงานเพื่อเป็นตัวเลือกให้กับพี่น้องประชาชน เราจะเป็นพรรคการเมืองที่ร่วมกันผลักดันให้เกิดการสร้างประชาธิปไตยขึ้นในประเทศไทย และมองว่าประชาชนน่าจะมีความภาคภูมิใจในการทำงานของพวกเรา คำว่าพรรคสาขาสองไม่น่าจะเป็นคำถามที่ออกมาจากเสียงของประชาชน”
‘เป็นธรรม’ บ้านใหม่ (ระยะสั้น) ของปดิพัทธ์
ปดิพัทธ์ อดีตนายสัตวแพทย์ในวัย 41 ปี ที่เริ่มต้นชีวิตการเมืองในนามพรรคอนาคตใหม่ และยังรักษาเก้าอี้ สส. สมัยที่ 2 ในนามของพรรคก้าวไกล ตัดสินใจเดินทางเข้าสู่บ้านหลังใหม่ระหว่างสมัย แต่ยังคงสถานะการเป็นรองประธานสภาคนที่ 1 อย่างไรก็ตาม เขาบอกว่านี่คือการตัดสินใจระยะสั้น
“ยังไม่มีการตัดสินใจในระยะยาว ขณะนี้เป็นเพียงการแก้ไขปัญหาระยะสั้น เพราะผมเองต้องสังกัดพรรคการเมืองให้ได้ภายใน 30 วัน และพรรคเป็นธรรมมีความจริงใจและเปิดรับมากที่สุด ส่วนเรื่องอนาคตก็เป็นเอกสิทธิ์ของผมเองและพรรคเป็นธรรม
“ตอนนี้เดินตลาดพิษณุโลก คำพูดที่ทักทายไม่ใช่คำว่า สวัสดี มีแต่บอกว่า อย่าออก เพราะชาวพิษณุโลกต้องการให้คนพิษณุโลกดำรงตำแหน่งรองประธานสภานี้มาก แต่สิ่งที่ผมทำนั้นขับเคลื่อนให้ประเทศก้าวไปข้างหน้าได้”