ถือเป็นหนึ่งในความเคลื่อนไหวที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลกมากที่สุดในรอบสัปดาห์นี้ สำหรับการประชุมคณะกรรมการกำกับนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed ซึ่งจะเปิดฉากขึ้นในวันอังคารที่ 21 กันยายนนี้ ก่อนเสร็จสิ้นในวันถัดไป โดยบรรดานักวิเคราะห์หลายสำนักต่างคาดการณ์ว่า Fed ยังไม่น่าจะประกาศลดปริมาณการซื้อคืนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในการประชุมครั้งนี้
ขณะเดียวกันนักวิเคราะห์ต่างเห็นว่า Fed น่าจะทำเพียงแค่การส่งสัญญาณให้ตลาดเตรียมความพร้อมด้วยการยืนยันว่า Fed จะเดินหน้าลด QE แน่นอนภายในสิ้นปีนี้
ในส่วนของประเด็นหารือหลักของคณะกรรมการกำกับนโยบายการเงินของ Fed หลายฝ่ายประเมินว่า เนื้อหาหลักจะยังเป็นสถานการณ์การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐฯ และสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด
Joe Brusuelas หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก RSM US คาดว่า เจอโรม พาวเวลล์ ประธาน Fed จะใช้งานแถลงข่าวหลังการประชุมเพื่อประกาศให้รู้กันทั่วหน้าว่า แผนลดปริมาณ QE กำลังจะมีขึ้น โดย Fed น่าจะเริ่มประกาศในเดือนพฤศจิกายน และมีผลบังคับใช้ในเดือนธันวาคม
ในส่วนของการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่า น่าจะเป็นไปในทิศทางบวก แม้จะยังมีปัจจัยเปราะบางอย่างการระบาดของไวรัสโควิด แต่ภาพรวมเศรษฐกิจ โดยเฉพาะตลาดจ้างงานที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น และอัตราเงินเฟ้อที่เริ่มชะลอลง ขณะที่การปรับเปลี่ยนมาตรการใดๆ ของ Fed จะดำเนินการแบบสายพิราบ คือเน้นแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ดุเดือดเข้มงวดแบบสายเหยี่ยว
ขณะเดียวกันมีรายงายจากทางสถานีโทรทัศน์ CNBC ระบุว่า เจอโรม พาวเวลล์ ประธาน Fed ได้มีคำสั่งให้มีการตรวจสอบด้านจรรยาบรรณภายใน Fed หลังมีการออกมาร้องเรียนว่ามีเจ้าหน้าที่บางส่วน รวมถึงพาวเวลล์เอง ครอบครองพันธบัตรหรือตราสารหนี้ประเภทเดียวกันกับที่ Fed ซื้อคืนในโครงการ QE ในปี 2020 ที่เกิดเหตุโควิดระบาด
ทั้งนี้หลักจรรยาบรรณของธนาคารกลางสหรัฐฯ ระบุอย่างชัดเจนว่า เจ้าหน้าที่ “ควรระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงการติดต่อหรือการดำเนินการอื่นๆ ที่อาจบ่งบอกถึงความขัดแย้งระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัว ผลประโยชน์ของระบบ และผลประโยชน์สาธารณะ”
แม้ว่าการถือครองดังกล่าวจะไม่ได้ละเมิดจรรยาบรรณของ Fed แต่ก็ทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับนโยบายผลประโยชน์ทับซ้อนของ Fed และการกำกับดูแลของเจ้าหน้าที่
ขณะเดียวกันทางบลูมเบิร์กเผยรายงานพิเศษแสดงความเห็นต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ว่า มีปัจจัยที่ทำให้โตชะลอ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวไม่ใช่นโยบายของ Fed แต่เป็นมาตรการรัดเข็มขัดและการลดการสนับสนุนงบประมาณของรัฐบาลกลางที่กำลังดำเนินการอยู่ โดยน่าจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีหน้า
หลายฝ่ายคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเริ่มชะลอตัวจนเห็นได้ชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2022 ซึ่งเป็นช่วงที่คาดกันว่าบรรดาสารพัดมาตรการกระตุ้น เช่น การแจกเงินอุดหนุนครัวเรือน หรือโครงการเงินกู้สำหรับธุรกิจ SMEs ถึงกำหนดสิ้นสุด แม้ว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดนจะได้รับการอนุมัติจากสภา เกี่ยวกับแผนยกเครื่องสาธารณูปโภคของประเทศ เพราะถึงจะช่วยให้เกิดการลงทุนการจ้างงานชุดใหญ่ แต่ด้วยแผนขึ้นภาษีเพื่อหาเงินมาสนับสนุนโครงการ ก็จะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวแทนที่จะเร่งให้เร็วขึ้น
อ้างอิง:
- https://www.channelnewsasia.com/business/fed-expected-stay-cautious-economy-sends-mixed-signals-2187916
- https://www.cnbc.com/2021/09/17/fed-officials-owned-securities-it-was-buying-during-pandemic-raising-more-questions-about-conflicts.html
- https://finance.yahoo.com/news/taper-really-bite-u-growth-123000232.html
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP