หลังจากที่เปิดตัว ‘Find X3 Pro 5G’ สมาร์ทโฟนรุ่นเรือธงอย่างเป็นทางการและพร้อมเพียงกันไปแล้วทั่วโลกตั้งแต่เมื่อช่วงสัปดาห์ที่แล้ว เมื่อช่วงค่ำวานนี้ (18 มีนาคม) OPPO ประเทศไทยก็ได้ฤกษ์ประกาศราคาจำหน่ายแฟลกชิปสโลแกนพันล้านสีของพวกเขาเสียที โดยมีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 33,990 บาท
สำหรับสมาร์ทโฟน Find X3 Pro 5G ถือเป็นเรือธงโมเดลฉลองครบรอบ 10 ปี การพัฒนาโทรศัพท์รุ่นแฟลกชิปของพวกเขา มีจุดเด่นอยู่ที่ความสามารถในการแสดงผลที่ทำได้ถึงหลักพันล้านสีเหนือสมาร์ทโฟนทั่วๆ ไปในท้องตลาด ด้วยเทคโนโลยี 10-bit Full-path Colour Engine
เสริมด้วยกล้องหลังเลนส์ 4 ตัว Wide และ Ultrawide 50 ล้านพิกเซล และรองรับการถ่ายภาพที่ประมวลผลได้หลักพันล้านสีทั้งคู่ (เซ็นเซอร์ Sony IMX766) เลนส์ Tele ที่ 13 ล้านพิกเซล และเลนส์มาโครที่ 3 ล้านพิกเซล กำลังขยายกว่า 60 เท่า เทียบเท่าการใช้งานแบบกล้องจุลทรรศน์เคลื่อนที่บนฟีเจอร์ Microlens ส่วนกล้องหน้าเป็นเลนส์ Wide ความละเอียด 32 ล้านพิกเซล
ชานนท์ จิรายุกุล ประธานกรรมการอาวุโสฝ่ายบริหาร ออปโป้แห่งประเทศไทย เปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า ณ วันนี้ OPPO มีผู้ใช้งานทั่วโลกมากกว่า 400 ล้านรายแล้ว โดยมียอดขายผลิตภัณฑ์สูงเป็นอันดับหนึ่งในอาเซียน โดยส่วนใหญ่ผลิตภัณฑ์ที่ขายดีที่สุดคือสินค้าสมาร์ทโฟนในตระกูลพรีเมียม ‘Reno Series’ ซึ่งมีส่วนแบ่งในพอร์ตธุรกิจบริษัทมากกว่า 40% ณ ปัจจุบัน
ส่วนการเปิดตัว Find X3 Pro 5G ซึ่งถือเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นครบรอบ 10 ปีการพัฒนาสินค้าในไลน์แฟลกชิปของ OPPO นั้น ชานนท์มองว่าผลิตภัณฑ์ใน Find Series จะสามารถนำนวัตกรรมและเทคโนโลยี ดีไซน์ที่ล้ำสมัยมาสอดประสานเข้ากับความต้องการของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี และหวังสร้าง Perception ที่ว่า หากคนต้องการจะซื้อสมาร์ทโฟนระดับแฟลกชิปก็จะต้องคิดถึง OPPO เป็นแบรนด์แรกให้ได้
“เราตั้งความหวังไว้สูงสำหรับโมเดลนี้ ซึ่งแน่นอนว่ามันก็มีปัจจัยแวดล้อมอยู่หลากหลาย และหากไม่มีปัจจัยแปลกๆ มาอีก เช่น สงครามการค้าระหว่างประเทศ การขาดแคลนชิปเซ็ต หรือโควิด-19 ผมก็เชื่อว่า Find X3 Pro 5G จะสามารถ Break Through ในตลาดแฟลกชิปประเทศไทย โดยเฉพาะการสร้างมุมมองในแง่ที่ว่า ถ้าคนจะซื้อแฟลกชิปก็ต้องคิดถึง Oppo Find X3 Pro เป็นโมเดลต้นๆ
“ส่วนภาพรวมการแข่งขันในตลาดสมาร์ทโฟนประเทศไทยนั้น สำหรับปี 2021 นี้ผมมองว่า ‘สมาร์ทโฟนที่รองรับ 5G ได้’ กลายเป็น ‘เรื่องปกติ’ ไปแล้ว ดังนั้นความสามารถในส่วนนี้จึงไม่ใช่จุดเด่นที่เทียบว่าเป็นแต้มต่ออีกของใครก็ตามอีกต่อไป แต่เนื่องจากในเชิงภาพรวมยังเกิดปัญหาซัพพลายเชนด้านชิปเซ็ต นั่นจึงทำให้เราอาจจะเห็นการเลื่อนขายสมาร์ทโฟนที่รองรับ 5G ในราคาต่ำกว่าหลักหมื่นบาทเลื่อนกำหนดการวางจำหน่ายออกไปก่อน
“โดยที่ OPPO นั้น แม้ปีที่ผ่านมาจะมีปัจจัยภายนอกเข้ามาเขย่าเยอะ แต่ก็ยังคงอยู่ในทิศทางการเติบโตที่ดี มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นจากเดิม แม้ยอดขายจะลดลง (ไม่เปิดเผยตัวเลข) โดยปัจจุบันเรามีสมาร์ทโฟนจำหน่ายรวมทั้งสิ้นราว 5-6 โมเดลซีรีส์ ในจำนวนนี้รองรับ 5G ได้ถึง 3 โมเดล โดยที่ผลกระทบเรื่องชิปนั้น เราค่อนข้างมั่นใจว่าจะไม่มีผลกับ OPPO เนื่องจากเรามั่นใจในศักยภาพของบริษัทแม่ รวมถึงความเชื่อที่ว่าสินค้าของเราจะเพียงพอต่อความต้องการตลาด
“ในอนาคตเราอาจจะได้เห็น OPPO ให้ความสำคัญกับการทำตลาดสินค้าในกลุ่ม IoT มากขึ้น หลังจากที่วันนี้เราได้เปิดตัวหูฟัง OPPO Enco X ร่วมกับพาร์ตเนอร์ชื่อดังอย่าง Dynaudio ไปแล้ว (สนนรคา 5,999 บาท) ซึ่งไม่แน่ว่าในอนาคตอาจจะได้เห็น OPPO จำหน่ายสินค้าใน 4 กลุ่ม คือ Office, Home, Personal หรือ Travel ตัวอย่างเช่น โทรทัศน์ หรือโน้ตบุ๊ค แท็บเล็ต เป็นต้น”
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล