ในช่วงนี้เชื่อว่าผู้ลงทุนหลายท่านคงจะทำการบ้านกันอย่างเข้มข้นว่าปี 2568 มีสินทรัพย์ไหนบ้างที่ลงทุนแล้วมองเห็นโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจ หรือจะช่วยสนับสนุนให้การลงทุนไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งนอกจากจะพิจารณาที่ประเภทสินทรัพย์แล้ว ผมมองว่าสามารถพิจารณาเจาะลึกไปยังอุตสาหกรรมที่น่าสนใจด้วยได้ โดยที่มี 5 อุตสาหกรรมน่าจับตาดังนี้
1. Generative AI
ผมมองว่าในปี 2568 หลายค่ายคงจะมีการปล่อยฟีเจอร์ใหม่ๆ ของ Generative AI ออกมา อย่างเช่น OpenAI ที่สร้าง ChatGPT ในปี 2567 ได้เปิดตัว OpenAI o1 ออกมา โดยมีจุดเด่นด้านการแก้ไขปัญหาคณิตศาสตร์หรือปัญหาที่ซับซ้อนได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งนักวิเคราะห์หลายสถาบันต่างก็คาดการณ์ว่า OpenAI น่าจะเตรียมพร้อมเสนอขายหุ้นให้ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ในปี 2568 ดังนั้นก็น่าจะมีการปล่อยฟีเจอร์ใหม่ออกมาอีก เพื่อกระตุ้นความน่าสนใจสำหรับการ IPO ขณะที่ค่ายคู่แข่งอื่นๆ ก็น่าจะมีการออกเวอร์ชันใหม่ๆ มากขึ้นเพื่อมาแข่งขัน เช่น Gemini ของค่าย Google ที่ล่าสุดเพิ่งออกเวอร์ชัน 2.0, Claude ของ Anthropic ที่ Amazon เป็นผู้สนับสนุน, Copilot ของ Microsoft และ Llama ซึ่งเป็น Open Source AI ของ Meta
2. Quantum Computers
แม้ในช่วงนี้เทคโนโลยี Quantum Computers จะยังอยู่ในช่วงการวิจัยพัฒนา ไม่สามารถนำมาใช้เชิงพาณิชย์ได้ แต่ในปี 2568 คาดว่าจะได้เห็นบริษัทที่เข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมนี้เพิ่มขึ้น เนื่องจากเริ่มมองเห็นแนวทางที่จะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้งานจริงได้จากเดิมที่เป็นเพียงแนวคิดเท่านั้น หลังจากที่ Google เปิดตัวชิป Quantum ชื่อว่า Willow พร้อมแสดงประสิทธิภาพในการคำนวณปัญหาที่ซับซ้อนมากๆ เช่น โจทย์ในเชิงควอนตัม โดยหากเป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์อาจใช้เวลาถึง 1,025 ปี (หรือ 10 ล้านล้านล้านล้านปี) จึงจะแก้ปัญหาได้ แต่ Willow ใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที ซึ่งอาจเป็นการพลิกโฉมหน้าวิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบัน และสามารถนำไปต่อยอดงานวิจัยเทคโนโลยีต่างๆ เช่น การถอดรหัสพันธุกรรม การวิเคราะห์โปรตีนเพื่อพัฒนายารักษาโรคต่างๆ หรือการทดลองโมเลกุลทางเคมี
3. Zero Cost Energy
ในช่วงที่ผ่านมามีหลายประเทศเริ่มกังวลกับปัญหาการขาดแคลนพลังงาน จากความก้าวหน้าของนวัตกรรม AI ทำให้เราได้เห็นบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Meta, Google และ Amazon ขยายไปสร้างโรงงานนิวเคลียร์ของตัวเอง หรือ Microsoft ที่ขยายความร่วมมือในการจัดหาแหล่งพลังงานกับ Constellation Energy รวมถึงความพยายามจะแสวงหาแหล่งพลังงานที่ต้นทุนต่ำที่สุด หรือ Zero Cost Energy นอกจากนี้ยังมีการขยายฐานการวิจัยออกไปยังต่างประเทศและเสาะหาแหล่งพลังงานต้นทุนต่ำ เพื่อรองรับการเติบโตของ AI ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า ซึ่งก็เป็นโอกาสสำหรับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานต้นทุนต่ำ รวมถึงกลุ่มประเทศที่เกิดการย้ายฐานงานวิจัยและแหล่งพลังงานดังกล่าว
4. Autonomous Driving
ที่ผ่านมาเราได้เห็นค่ายรถยนต์สันดาปถูกรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ชิงส่วนแบ่งตลาดไป โดยล่าสุด Honda, Mitsubishi และ Nissan ก็ต้องควบรวมกิจการกัน ขณะที่ในอนาคตคงจะได้เห็นแนวโน้มค่ายรถยนต์สันดาปเผชิญแรงกดดันมากขึ้นไปอีก จากการที่ค่ายรถยนต์ไฟฟ้ากำลังเร่งพัฒนายานยนต์ไร้คนขับ หรือ Autonomous Driving ซึ่งจะทำให้ค่ายรถยนต์ที่ไม่ได้มีการพัฒนาระบบอัตโนมัติแข่งขันในตลาดยากขึ้นไปอีก ทำให้อาจเห็นการควบรวมกิจการ รวมถึงการแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดรถยนต์มากขึ้นอีกในอนาคต สำหรับความคืบหน้าของ Autonomous Driving นั้นเราได้เห็น Tesla กำลังพัฒนาอยู่ และยังเตรียมเปิดตัว RoboTaxi ในอนาคต รวมถึง Waymo ของค่าย Google ที่กำลังขยายขอบเขตการทำงานไปยังรัฐต่างๆ มากขึ้น ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าการมาของ Autonomous Driving จะสร้างผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์พอสมควร โดยจะมีทั้งผู้ประกอบการที่ได้รับประโยชน์เชิงบวกและเสียประโยชน์ ซึ่งนอกจากผู้ผลิตรถยนต์โดยตรงแล้ว ยังรวมถึงกลุ่มที่เกี่ยวข้อง เช่น Ride Sharing หรือ Delivery ด้วย
5. Digital Asset
เนื่องจาก โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งจะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 20 มกราคม 2568 เป็นผู้ที่สนับสนุน Digital Asset ค่อนข้างมาก ลูกชายของทรัมป์ก็เคยออกโทเคน ส่วนเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ของสหรัฐฯ ก็น่าจะมีการเปลี่ยนตัวเป็นผู้ที่สนับสนุนคริปโตเคอร์เรนซีมากขึ้น ส่งสัญญาณการสนับสนุนในเชิงบวกกับอุตสาหกรรมนี้
สำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนใน 5 อุตสาหกรรมนี้ ในขณะเดียวกันก็ต้องการความง่ายด้วย ผมแนะนำว่าสามารถลงทุนผ่านกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่อย่างหุ้น 7 นางฟ้า (Apple, Amazon, Alphabet (บริษัทแม่ของ Google), NVIDIA, Meta Platforms, Microsoft และ Tesla) เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีการลงทุนค่อนข้างครอบคลุมใน 5 อุตสาหกรรมนี้ หรืออาจจะลงทุนผ่านกองทุนรวมดัชนี (ETF) ที่อ้างอิงกลุ่มอุตสาหกรรมเหล่านี้
นอกจากนี้อาจจะลงทุนผ่านอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นรากฐานของ 5 อุตสาหกรรมข้างต้น และยังมีหลากหลายส่วนในห่วงโซ่อุปทานให้เลือกลงทุนได้ แม้ว่าหุ้นเหล่านี้ที่อยู่ในสหรัฐฯ จะมีราคาค่อนข้างแพง แต่ผู้ลงทุนก็ยังสามารถพิจารณาลงทุนหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ที่อยู่ในยุโรป เกาหลีใต้ ไต้หวัน และญี่ปุ่นได้เช่นกัน
ทั้งนี้ ผมมองว่าผู้ลงทุนควรใช้ความระมัดระวังในการลงทุนให้มากกว่าปกติ หากสนใจลงทุนในอุตสาหกรรมที่ยังเป็นเพียงแนวคิด ยังไม่มีการใช้จริงเชิงพาณิชย์ เช่น Quantum Computing หรืออุตสาหกรรมที่ต้องใช้เงินลงทุนมากอย่าง Zero Cost Energy ควรพิจารณาลงทุนในสัดส่วนที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้เป็นหลักครับ
คำเตือน:
- การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
- เนื่องจากกองทุนไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
- ศึกษาข้อมูลกองทุนหลักและหนังสือชี้ชวนกองทุนเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม ไทยพาณิชย์ จำกัด และแอป SCB EASY หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ SCB Call Center โทร. 0 2777 7777
ภาพ: amgun / Getty Images