กรุงวอร์ซอที่ดิฉันได้มาเยือนในวันนี้ แทบไม่เหลือเค้าโครงของภาพจำในหน้าประวัติศาสตร์ที่เต็มไปด้วยร่องรอยแห่งสงครามและความเจ็บปวด เมืองที่เคยถูกทำลายราบเป็นหน้ากลองในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ฟื้นคืนชีพ กลายเป็นเมืองใหญ่ที่เปี่ยมด้วยพลังขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจและเป็นศูนย์กลางทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของยุโรปกลาง
แต่สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าการเติบโตภายในประเทศ คือการที่โปแลนด์กำลังปรับแกนเข็มทิศนโยบายต่างประเทศของตนเองอย่างมีนัยสำคัญ และการปรับเปลี่ยนครั้งนี้ มี ‘ประเทศไทย’ เป็นหนึ่งในหมุดหมายสำคัญ
ปรากฏการณ์ “The Poland Pivot” นี้ ไม่ใช่แค่การทูตเพื่อกระชับมิตรภาพตามปกติ แต่เป็นการเคลื่อนไหวเชิงยุทธศาสตร์ที่เกิดจากแรงผลักดันทางภูมิรัฐศาสตร์โลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป ในยุคที่โลกกำลังเปลี่ยนผ่านจากขั้วอำนาจเดียวสู่สภาวะหลายขั้ว ประเทศมหาอำนาจระดับกลาง ต่างแสวงหาพันธมิตรใหม่เพื่อสร้างสมดุลและเพิ่มทางเลือกให้กับตนเอง และนี่คือโอกาสครั้งสำคัญของประเทศไทยในการสร้างพันธมิตรและยกระดับบทบาทของตนเองในเวทีโลก
ดิฉันได้มีโอกาสสนทนากับ อุรษา มงคลนาวิน เอกอัครราชทูต ณ กรุงวอร์ซอ บทสนทนาในวันนั้น ทำให้เห็นภาพชัดเจนถึงเบื้องหลังการขับเคลื่อนที่กำลังจะยกระดับความสัมพันธ์กว่า 5 ทศวรรษ ซึ่งสถาปนามาตั้งแต่ปี 1972 และเพิ่งเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 50 ปีไปเมื่อปี 2022 สู่บทใหม่ของการเป็น “หุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์”
อุรษา มงคลนาวิน เอกอัครราชทูต ณ กรุงวอร์ซอ และ ณัฏฐา โกมลวาทิน
เข้าใจหัวใจของโปแลนด์: ทำไมต้องวันนี้?
การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างน่าทึ่งหลังยุคสงครามเย็น ทำให้โปแลนด์มีศักยภาพและมีความมั่นใจที่จะกำหนดทิศทางของตนเองมากขึ้น ท่านทูตอุรษา ผู้มองเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างใกล้ชิด ยืนยันในมุมมองนี้
“สถานเอกอัครราชทูตฯ เห็นว่าโปแลนด์เป็นประเทศที่มีศักยภาพสูง ในการที่เราจะส่งเสริมความสัมพันธ์ทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และในเรื่องของความร่วมมือทางด้านสังคม โปแลนด์เป็นประเทศที่เป็นมิตรกับไทยมาอย่างยาวนาน และให้การสนับสนุนไทยในประเด็นต่างๆ อย่างดีมาโดยตลอด”
นี่คือพันธมิตรที่มีทั้งศักยภาพในประเทศและในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ
อุรษา มงคลนาวิน เอกอัครราชทูต ณ กรุงวอร์ซอ
จากตัวเลขสู่เรื่องราว : เมื่อเศรษฐกิจขับเคลื่อนมิตรภาพ
รากฐานของการยกระดับความสัมพันธ์ครั้งนี้ ไม่ได้มาจากเพียงเจตจำนงทางการเมือง แต่ถูกหนุนหลังด้วยเรื่องราวความสำเร็จทางเศรษฐกิจที่จับต้องได้ เมื่อเราพูดถึงตัวเลขการค้าที่สูงเกิน 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2022 เรากำลังพูดถึงสินค้าไทยที่ไปถึงมือผู้บริโภคในยุโรป และเทคโนโลยีโปแลนด์ที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจในบ้านเรา
เบื้องหลังตัวเลขเหล่านั้นคือเรื่องราวของบริษัทไทยอย่าง CP Foods, Thai Union Group และ Indorama Ventures ที่มองเห็นโปแลนด์ไม่ใช่แค่ตลาด แต่เป็นฐานยุทธศาสตร์ในการเข้าถึงตลาดยุโรปทั้งหมด ในทางกลับกัน บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโปแลนด์อย่าง Comarch ก็ได้เข้ามาลงทุนดำเนินธุรกิจในประเทศไทยเช่นกัน เรื่องราวเหล่านี้คือเครื่องยืนยันว่าความสัมพันธ์ของไทยและโปแลนด์ เติบโตและงอกงามในโลกธุรกิจจริง
สภาพบ้านเมืองในกรุงวอร์ซอ
เมื่อ ‘เสน่ห์ไทย’ มัดใจชาวโปแลนด์
สิ่งที่ทำให้ดิฉันประทับใจยิ่งกว่าตัวเลขทางเศรษฐกิจ คือสายใยที่เชื่อมโยงผู้คนของทั้งสองชาติ ท่านทูตอุรษาได้ฉายภาพความนิยมประเทศไทยในสายตาชาวโปแลนด์
“ในด้านการท่องเที่ยว ตอนนี้ นักท่องเที่ยวโปแลนด์ขึ้นเป็นอันดับ 1 ของประเทศจากยุโรปกลางที่มาท่องเที่ยวในประเทศไทย ปีที่แล้วตัวเลขขึ้นไปถึง 180,000 แล้ว คาดว่าปีนี้ตัวเลขทั้งปีเราน่าจะได้เกิน 200,000 คน”
ท่านทูตเล่าให้ฟังพร้อมรอยยิ้มที่บอกเล่าได้มากกว่าตัวเลขทางการทูตว่า “คนโปแลนด์ชอบอาหารไทยมาก และทานอาหารเผ็ดได้นะคะ ชอบด้วย คนโปแลนด์ชอบมวยไทย ขณะนี้มียิมที่สอนมวยไทยในโปแลนด์เพิ่มขึ้นมาก”
ความนิยมในมวยไทยนี้ได้รับการยืนยันอย่างเป็นรูปธรรมเมื่อถูกบรรจุเข้าในการแข่งขัน 2023 European Games ที่โปแลนด์เป็นเจ้าภาพ สะท้อนถึงการยอมรับใน ‘ตัวตน’ และ Soft Power ของไทย นอกจากนี้โปแลนด์ยังเป็นจุดหมายปลายทางด้านการศึกษาที่สำคัญของนักเรียนไทย โดยเฉพาะในสาขาการแพทย์ เนื่องจากมีชื่อเสียงด้านความเชี่ยวชาญและมีค่าเล่าเรียนที่สมเหตุสมผล
นิยามใหม่ความสัมพันธ์: จากมิตรภาพสู่ ‘Strategic Dialogue’
ถ้าเปรียบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ตลอด 50 ปีที่ผ่านมา ไทยกับโปแลนด์อาจเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมายาวนาน แต่ในวันนี้ สถานการณ์โลกที่เปลี่ยนไปทำให้ทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันว่า ถึงเวลาแล้วที่จะยกระดับความสัมพันธ์ให้จริงจังและเป็นทางการมากขึ้น การพูดคุยทักทายอาจไม่เพียงพอ แต่จำเป็นต้องมี “บทสนทนาเชิงยุทธศาสตร์” เพื่อวางแผนอนาคตร่วมกัน
ท่านทูตอุรษาอธิบายถึงจังหวะเวลาที่ลงตัวนี้ว่า
“ขณะนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นร่วมกันว่ามีความจำเป็นที่อยากจะเข้ามาใกล้ชิดกันมากขึ้น โปแลนด์อยากที่จะมีเพื่อนเพิ่มขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ออกมาหาเพื่อนนอกยุโรป ในขณะเดียวกัน นโยบายนี้ของโปแลนด์ก็สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลไทย ที่เราก็ต้องการที่จะแสวงหาเพื่อนเพิ่มมากขึ้น”
การยกระดับสู่ “Strategic Dialogue” คือการสร้างกรอบความร่วมมือที่ชัดเจน เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และการป้องกันประเทศ เป็นความพยายามของโปแลนด์ในการกระชับความร่วมมือกับกลุ่มประเทศ Global South เพื่อสร้างสมดุลทางอำนาจ โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนคือ “โปแลนด์มองว่าการที่จะมีบทบาทอยู่เฉพาะในยุโรปอย่างเดียวไม่พอ ประเทศไทยอยู่ในประเทศเป้าหมายหลักที่โปแลนด์ต้องการที่จะเพิ่มพูนความสัมพันธ์”
สภาพบ้านเมืองในกรุงวอร์ซอ
แล้วไทยได้อะไร? จากยุทธศาสตร์ของโปแลนด์
ท้ายที่สุดแล้ว เรื่องราวที่เกิดขึ้นในประเทศที่ห่างไกลกว่า 8,000 กิโลเมตรนี้ มีความหมายอย่างไรกับคนไทย? คำตอบคือโอกาสในหลายมิติ
การมีโปแลนด์เป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่ง คือการมี “เพื่อน” อยู่ในห้องประชุมที่สำคัญของสหภาพยุโรป เป็นเสียงสนับสนุนที่หนักแน่นให้กับการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-อียู ที่จะเปิดประตูสู่ตลาดยุโรปให้กับผู้ประกอบการไทย และที่สำคัญไปกว่านั้น ในโลกที่ผันผวน การมีเพื่อนที่ไว้ใจได้เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งราย คือการกระจายความเสี่ยงและเพิ่มทางเลือกเชิงยุทธศาสตร์ให้กับประเทศไทย
การทูตในศตวรรษที่ 21 ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของสนธิสัญญาหรือพิธีการ แต่คือการมองเห็นศักยภาพ การเข้าใจผู้คน และการสร้างสะพานเชื่อมโยงผลประโยชน์เข้าไว้ด้วยกันอย่างสร้างสรรค์ การปรับแกนของโปแลนด์ในครั้งนี้ คือโอกาสของประเทศไทย เพื่อเปลี่ยนมิตรภาพอันยาวนานให้กลายเป็นพลังขับเคลื่อนประเทศไปสู่เวทีโลกต่อไป