หมายเหตุ: บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของซีรีส์ Secret Invasion
เดินทางมาถึงตอนสุดท้ายกันแล้วสำหรับ Secret Invasion ซีรีส์เรื่องล่าสุดจาก Marvel Studios ที่เพิ่งจะฉายตอนสุดท้ายไปเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยซีรีส์ได้ Kyle Bradstreet ผู้อยู่เบื้องหลังซีรีส์แนวจารกรรมเรื่องเยี่ยมอย่าง Mr. Robot (2015) มาดูแลในตำแหน่งผู้สร้างและเขียนบท พร้อมด้วย Ali Selim จาก The Looming Tower (2018) มารับหน้าที่ผู้กำกับทั้ง 6 ตอน
ต้องยอมรับตามตรงว่าซีรีส์ Secret Invasion ค่อนข้างเปิดตัวมาได้น่าสนใจพอสมควร เริ่มตั้งแต่ฉากเปิดเรื่องของเจ้าหน้าที่ Ross (Martin Freeman) ที่ถูกยิงเสียชีวิตตั้งแต่ต้นเรื่อง ก่อนจะถูกเปิดเผยว่าเขาคือชาว Skrull ที่ปลอมตัวมา รวมถึงฉากสุดท้ายที่ซีรีส์ตัดสินใจฆ่าหนึ่งในตัวละครหลักอย่าง Maria Hill (Cobie Smulders) ที่อยู่คู่กับ Nick Fury (Samuel L. Jackson) มาตั้งแต่ภาพยนตร์เรื่อง The Avengers (2012) กันตั้งแต่ตอนแรก รวมถึงแอบแทรกประเด็นการเมืองเล็กๆ น้อยๆ เพื่อปูพื้นให้เราเห็นว่า Secret Invasion จะมาในบรรยากาศที่เข้มข้นจริงจังและเรื่องราวที่ซับซ้อนไว้ใจไม่ได้ ซึ่งเป็นบรรยากาศที่เราไม่ได้สัมผัสจากผลงานของ MCU มานานมากแล้ว
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เราค่อนข้างคาดหวังว่า Secret Invasion จะสามารถรักษาความเข้มข้นอันโดดเด่นนี้ไปได้ตลอดทั้งเรื่อง กระทั่งซีรีส์เดินทางมาถึงตอนที่ 6 เราก็แอบเสียดายที่ทีมสร้างเลือกจะสรุปเรื่องราวแบบรวบรัดเกินไปจนทำให้กราฟความน่าสนใจของซีรีส์ดรอปลงอย่างเห็นได้ชัด
เอาเข้าจริงๆ Secret Invasion มีองค์ประกอบหลายอย่างที่ถูกนำเสนอได้น่าสนใจ เช่น ตัวร้ายหลักประจำเรื่องอย่าง Gravik กับการแสดงของ Kingsley Ben-Adir ที่ดูเคร่งขรึม เด็ดขาด จนทำให้เราเชื่อจริงๆ ว่าตัวละครนี้ดูอันตรายและไม่น่าไว้วางใจ รวมถึงปมขัดแย้งของเขาที่เคียดแค้น Nick Fury เพราะผิดสัญญาที่ให้ไว้กับชาว Skrull ว่าจะหาดาวดวงใหม่ให้ จนกลายเป็นแรงผลักดันสำคัญให้เขาเริ่มแผนการยึดครองโลก และพร้อมจะกำจัดทุกคนที่เข้ามาขัดขวาง ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือชาว Skrull ด้วยกันเองก็ตาม ก็ยิ่งเสริมให้เรื่องราวของ Gravik มีความแข็งแรงและมีมิติที่น่าสนใจไปพร้อมกันอีกด้วย
หรือสายลับอังกฤษอย่าง Sonya ที่ได้นักแสดงดีกรีรางวัลออสการ์อย่าง Olivia Colman มาสวมบทบาท ก็เรียกได้ว่าเป็นตัวละครแย่งซีนประจำซีรีส์นี้จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นความปากร้ายที่คอยจิกกัดคู่สนทนาอย่างไม่ขาดสาย หรือความร้ายกาจ ไม่ประนีประนอม พร้อมจะสังหารศัตรูที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่ลังเล
รวมถึงการพาผู้ชมไปสำรวจเรื่องราวของ Nick Fury ในมิติอื่นๆ ที่ภาพยนตร์หรือซีรีส์ของ MCU ไม่ได้นำเสนอให้เราได้ชมมากนัก ไม่ว่าจะเป็นมิตรภาพระหว่างเขาและ Talos (Ben Mendelsohn) ที่แม้จะมีปากเสียงกันบ้าง แต่พวกเขาก็เป็นคู่หูที่เชื่อใจในกันและกันอย่างเหนียวแน่น เรื่องราวความรักที่เขามีต่อ Priscilla (Charlayne Woodard) ที่เผยให้เราเห็นถึงแง่มุมที่อ่อนไหวของ Nick Fury มากขึ้น
อีกหนึ่งจุดเด่นที่ผู้เขียนคิดว่าทีมสร้างนำเสนอได้ดีมากๆ นั่นคือไดอะล็อกภายในเรื่องที่สอดแทรกประเด็นการเมืองไว้ได้อย่างน่าสนใจ เช่น ฉากสนทนาระหว่าง Talos และ Nick Fury ที่ทราบความจริงว่าชาว Skrull นั่นแทรกซึมอยู่ทั่วโลกมากกว่าที่ Nick Fury เคยประเมินไว้ หรือฉากการประชุมระหว่าง Gravik และชาว Skrull ที่ปลอมตัวเป็นผู้นำโลก ซึ่งช่วยเสริมให้บรรยากาศอันตึงเครียดของซีรีส์โดดเด่นขึ้นกว่าเดิม
อย่างไรก็ตาม เมื่อซีรีส์ดำเนินมาถึงช่วงตอนที่ 5-6 เรากลับรู้สึกว่าทีมสร้างพยายามที่จะรวบรัดเรื่องราวมากเกินไปสักหน่อย ประการแรกคือตัวละคร Gravik ที่ในช่วงแรกเขาดูเป็นคนสุขุม เลือดเย็น แต่ในช่วงท้ายของเรื่อง อยู่ๆ เขาก็กลายเป็นคนร้อนรน ไม่รอบคอบไปเสียอย่างนั้น
หรือสถานการณ์ที่ Nick Fury ต้องเดินทางไปเจรจากับประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็ดูไม่มีชั้นเชิงในการนำเสนอมากนัก รวมถึงบทสรุปของฉากนี้ก็ดูเรียบง่ายและรวดเร็ว ไม่ได้มีจุดที่น่าตื่นเต้นหรือชวนให้เราลุ้นไปกับสถานการณ์ดังกล่าว ทั้งๆ ที่ฉากนี้คือฉากไคลแมกซ์สำคัญของเรื่อง
ขณะที่ฉากแอ็กชันระหว่าง Gravik และ G’iah ที่ถูกออกแบบมาไม่น่าสนใจนักเมื่อเทียบกับสเกลพลังที่ทั้งคู่มี และกลับกลายเป็นว่าฉากแอ็กชันในช่วงแรกของเรื่องกลับดูจะมีความเข้มข้นและลุ้นระทึกมากกว่าเสียอีก อีกทั้งเมื่อทีมสร้างนำฉากแอ็กชันฉากนี้มาบอกเล่าสลับกับเหตุการณ์ของ Nick Fury ไปพร้อมกัน มันจึงยิ่งทำให้การตัดฉากสลับไปมาของสองเหตุการณ์ดูไม่ลื่นไหล และไม่ช่วยเสริมกันและกันอีกด้วย
ไปจนถึงการวางปมบางอย่างไว้เพื่อนำไปต่อยอดในอนาคตมากเกินไป อย่างเช่น Rhodey และ Ross ที่ไม่ได้มีการเฉลยอย่างชัดเจนนักว่าพวกเขาถูกจับไปได้อย่างไร หรือการตัดสินใจของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ทำให้เกิดความวุ่นวายเป็นวงกว้าง แต่ตัว Nick Fury ก็ดูจะไม่ชัดเจนกับสิ่งที่เกิดขึ้น ดังนั้นแล้วเมื่อทีมสร้างเลือกที่จะพยายามสรุปเรื่องราวอย่างรวบรัดและคลุมเครือเกินไป มันจึงทำให้เราเสียดายในหลายๆ ประเด็นที่ถูกปูมาได้ดีในช่วงแรก และยังไม่ได้ให้เรารู้สึกอยากติดตามเรื่องราวของแต่ละตัวละครต่อไปอีกด้วย
ในภาพรวมแล้ว Secret Invasion จึงเป็นซีรีส์จาก MCU ที่เราทั้งชอบและเสียดายในหลายๆ แง่ ทั้งองค์ประกอบของการเป็นซีรีส์แนวฮีโร่สายลับอันเข้มข้น ไว้ใจใครไม่ได้ ที่ถูกนำเสนอออกมาได้โดดเด่นมากๆ ในช่วงครึ่งแรก แต่เมื่อซีรีส์เดินทางมาถึงตอนจบ ทีมสร้างกลับไม่ได้หยิบจุดเด่นที่ตัวเองเคยสร้างไว้มาใช้อย่างเต็มที่ แถมยังพยายามรวบรัดเรื่องราวและทิ้งปมปัญหาของตัวละครไว้แบบไม่มีชั้นเชิง จนส่งให้บทสรุปของ Nick Fury ไม่น่าจดจำอย่างที่เราคาดหวัง
สามารถรับชมซีรีส์ Secret Invasion ทั้ง 6 ตอนได้แล้ววันนี้ ทาง Disney+ Hotstar
รับชมตัวอย่างได้ที่นี่: www.youtube.com/watch?v=HuxnLNjmu6E&t=1s
ภาพ: Marvel Studios