×

ประกันสุขภาพ ทำไม เมื่อไร และอย่างไร?

27.07.2025
  • LOADING...

ในบทความที่แล้ว เราได้พูดคุยกันถึงแนวคิดของการทำประกันชีวิต และผมสัญญากับคุณผู้อ่านไว้ว่าจะพาไปเจาะลึกเทคนิคการเลือกซื้อประกันชีวิตให้คุ้มค่า ซึ่งก็แอบใบ้ไว้ว่าประกันที่อยากให้พิจารณามีเป็นอันดับแรกคือ ‘ประกันสุขภาพ’ แม้ว่าครั้งนี้ไม่ได้นั่งเขียนที่ร้านกาแฟเหมือนบทความก่อน แต่เนื้อหายังเข้มตามเดิมแน่นอนครับ

 

‘ประกันสุขภาพ’ เครื่องมือสำคัญในการวางแผนการเงิน

 

ทุกครั้งที่ได้มีโอกาสพูดคุยเรื่องการวางแผนการเงิน ผมมักจะเริ่มจากคำถามที่ว่า ‘อะไรคือความท้าทายของการวางแผนการเงิน’ ซึ่งแต่ละท่านก็อาจอยู่ในสถานการณ์ชีวิตที่แตกต่างกันไป สำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระ (Freelance) หรือเจ้าของธุรกิจ อาจมีความกังวลจากรายได้ที่ไม่แน่นอน ในขณะที่พนักงานเงินเดือนก็อาจให้น้ำหนักกับด้านรายจ่ายเป็นหลัก ซึ่งถ้าเราสังเกตให้ดีจะพบว่าไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด จุดร่วมที่เป็นความท้าทายของการวางแผนการเงินก็คือ ‘ความไม่แน่นอน’

 

ความสำเร็จของการวางแผนการเงินส่วนใหญ่แล้วขึ้นอยู่กับความแม่นยำในการประมาณการรายรับและรายจ่ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รวมไปถึงการพยายามลดความไม่แน่นอนให้ได้มากที่สุด ในกรณีนี้ผู้ที่มีรายได้ประจำอาจจะได้เปรียบผู้ประกอบอาชีพอิสระหรือเจ้าของธุรกิจในด้านของการประมาณการรายได้ในอนาคต ขณะที่การประมาณการด้านรายจ่ายนั้นอาจไม่ได้แตกต่างกันมากนัก โดยมักประกอบไปด้วยรายจ่ายประจำ (Fixed Expenses) เช่น ค่าเช่า ค่าผ่อนบ้าน/ผ่อนรถ ค่าเบี้ยประกัน ค่าบริการรายเดือนต่างๆ เป็นต้น และรายจ่ายผันแปร (Variable Expenses) ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามการใช้ชีวิต เช่น ค่าอาหาร ค่า Shopping เป็นต้น ซึ่งถ้าการวางแผนการเงินเรามีตัวแปรเพียงเท่านี้ก็อาจจะไม่ได้ยากเย็นเท่าไร อย่างไรก็ดีในความเป็นจริงยังมีรายจ่ายอีกประเภทหนึ่งที่เรียกว่ารายจ่ายฉุกเฉิน (Emergency Expenses) หลายท่านอาจให้นิยามว่าเป็นเรื่องของ ‘ดวง’ ซึ่งผมคิดว่าก็เป็นคำที่ทำให้เข้าใจได้ง่ายดี และเนื่องด้วยรายจ่ายฉุกเฉินเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนและคาดเดาได้ยาก จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจทำให้แผนการเงินของเรา ‘พัง’ ได้ในชั่วข้ามคืน

 

มาถึงตรงนี้คุณผู้อ่านคงพอเดาได้แล้วว่า ‘ความไม่แน่นอน’ ที่ผมต้องการจะสื่อก็คือ ‘ความเสี่ยงด้านสุขภาพ’ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศ ทุกวัย โดยนอกเหนือจากความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้นทั้งทางกายและทางใจ ยังมีผลไปถึงภาระทางการเงินทั้งในด้านของค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล และในกรณีที่เจ็บป่วยรุนแรงอาจกระทบถึงรายได้ในอนาคตด้วย ซึ่งการทำประกันสุขภาพจะช่วยเราในการเปลี่ยน ‘รายจ่ายที่คาดเดาไม่ได้ให้เป็นรายจ่ายที่คาดเดาได้’ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการวางแผนการเงิน รวมถึงการแบ่งเบาภาระค่ารักษาพยาบาลหรือแม้กระทั่งการคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลที่เกิดขึ้นทั้งหมด

 


บทความที่เกี่ยวข้อง: 


 

คำถามยอดฮิต ‘ควรเริ่มทำประกันสุขภาพเมื่อไร’

 

พูดถึงประกันสุขภาพ ขออนุญาตทบทวนอีกครั้งว่า สำหรับบริษัทประกันชีวิต ประกันประเภทดังกล่าวจัดเป็นสัญญาเพิ่มเติม ซึ่งจะต้องซื้อแนบกับสัญญาหลักเท่านั้น และสัญญาสุขภาพจะให้ความคุ้มครองเป็นแบบปีต่อปี โดยเบี้ยประกันที่เราจ่ายให้กับบริษัทประกันชีวิตเสมือนเป็นการซื้อความคุ้มครองเป็นรายปี ด้วยเหตุนี้หลายคนจึงมักมีคำถามว่า ‘ควรเริ่มทำประกันสุขภาพเมื่อไร’ ด้วยเหตุผลหลักคือไม่อยากมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ส่วนหนึ่งอาจมองว่ามีสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลจากนายจ้างอยู่แล้ว ขณะที่บางส่วนอาจมีความมั่นใจในสุขภาพของตนเองว่ามีความเสี่ยงน้อยที่จะเจ็บป่วย หรือต่อให้เจ็บป่วยก็คงเป็นโรคทั่วไปที่สามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาลเองได้ ด้วยเหตุนี้จึงมีความรู้สึกว่าการทำประกันสุขภาพนั้น ‘ไม่คุ้ม’ หรือมีแนวโน้มที่อยากจะเริ่มทำประกันสุขภาพในตอนที่มีความเสี่ยงที่จะเจ็บป่วยสูงขึ้น

 

อย่างไรก็ดีแม้ว่าสัญญาสุขภาพจะมีลักษณะเป็นแบบปีต่อปี บริษัทประกันชีวิตมักจะต่ออายุความคุ้มครองสัญญาสุขภาพให้โดยอัตโนมัติตราบใดที่ลูกค้าไม่ได้ละเมิดข้อตกลงตามสัญญา โดยกระบวนการที่สำคัญมากที่บริษัทประกันชีวิตใช้สำหรับการบริหารความเสี่ยงคือ ‘การพิจารณารับประกัน’ ซึ่งจะพิจารณาจากการตอบคำถามด้านสุขภาพรวมถึงประวัติการเจ็บป่วย โดยบริษัทประกันชีวิตอาจพิจารณาปรับเพิ่มเบี้ยประกันหรือยกเว้นความคุ้มครองสำหรับการเจ็บป่วยที่เป็นมาก่อนการทำประกัน หรือในกรณีที่มีประวัติการเจ็บป่วยที่รุนแรงบริษัทประกันชีวิตก็อาจปฏิเสธการรับประกัน 

 

จะเห็นว่ามีความขัดกันระหว่างมุมของผู้ซื้อที่อยากซื้อประกันสุขภาพตอนที่เริ่มมีความเสี่ยงที่จะเจ็บป่วย ขณะที่ในมุมของบริษัทประกันก็อยากจะรับประกันคนที่ยังมีสุขภาพดี ทีนี้กลับมาคำถามที่ว่า ‘ควรเริ่มทำประกันสุขภาพเมื่อไร’ ผมต้องขอย้อนกลับไปที่เรื่องการวางแผนการเงิน ซึ่งการทำประกันสุขภาพเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการลดความเสี่ยงจากค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด ดังนั้นแล้วผมจึงอยากแนะนำว่า ‘ควรเริ่มทำประกันในตอนที่ยังมีสุขภาพดี’ เพราะหากรอถึงวันที่เราเริ่มเจ็บป่วยแล้ว การทำประกันสุขภาพนั้นจะยากขึ้น เราอาจถูกปรับเพิ่มเบี้ยประกันจากประวัติสุขภาพ ยกเว้นความคุ้มครองในบางโรค หรืออาจถึงขั้นไม่สามารถทำประกันสุขภาพได้

 

เจาะลึก: เลือกประกันสุขภาพอย่างไร ตอบโจทย์ทั้งชีวิตและเงินในกระเป๋า?

 

ก่อนอื่นต้องยอมรับว่าผมเองได้เห็นปัญหาจากคนรอบตัวจากการทำประกันสุขภาพ ทั้งกรณีที่ความคุ้มครองไม่เพียงพอต่อความต้องการ หรือกรณีความคุ้มครองสูงเกินไปจนไม่สามารถชำระเบี้ยประกันได้ ซึ่งในทั้งสองกรณีส่งผลให้ไม่ได้รับความคุ้มครองอย่างที่ตั้งใจและส่งผลต่อการวางแผนการเงิน จึงได้รวบรวมแนวทางการเลือกประกันสุขภาพโดยมี 4 ขั้นตอน ดังนี้

 

1. ประเมินความคุ้มครองที่ต้องการ

 

พิจารณาจากสถานพยาบาลที่เราต้องการเข้ารับการรักษา บางคนอาจเลือกจากสถานพยาบาลใกล้บ้าน บางคนต้องการรับการรักษาที่ดีที่สุดก็อาจพิจารณาจากคุณภาพและชื่อเสียง เมื่อเลือกสถานพยาบาลได้แล้ว ให้เราลองสำรวจค่ารักษาพยาบาล ซึ่งอาจเริ่มต้นจากค่าห้องพักผู้ป่วย ว่าหากเราป่วยแล้วห้องพักที่เหมาะกับเรา ราคาประมาณเท่าไร นอกจากนี้ หากมีข้อมูลค่ารักษาโรคที่ค่อนข้างรุนแรง หรือมีการรักษาที่ซับซ้อน ก็จะช่วยให้สามารถประเมินความคุ้มครองที่ต้องการได้แม่นยำยิ่งขึ้น และด้วยความที่สัญญาประกันสุขภาพจะอยู่กับเราไปในระยะยาว จึงควรพิจารณาวงเงินความคุ้มครองเผื่อค่ารักษาพยาบาลที่จะมีราคาสูงขึ้นในอนาคตไว้ด้วย โดยอาจประมาณไว้ที่ 3 – 5 เท่า ของค่ารักษาพยาบาลในปัจจุบัน

 

2. พิจารณาแบบประกันสุขภาพ

 

ปัจจุบันประกันสุขภาพที่เสนอขายจะเน้นที่ความคุ้มครองกรณีเข้ารักษาเป็นผู้ป่วยใน (IPD) เป็นหลัก อย่างไรก็ดีบางแบบประกันอาจมีความคุ้มครองกรณีเข้ารักษาเป็นผู้ป่วยนอก (OPD) ให้ด้วย ทั้งนี้สามารถแบ่งประเภทแบบประกันสุขภาพออกได้เป็น 2 กลุ่มตามความคุ้มครอง ดังนี้

 

  • ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย: ให้ความคุ้มครองเป็นวงเงินการรักษา คุ้มครองตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง โดยอาจมีเพียงบางหมวดค่าใช้จ่ายเท่านั้นที่มีการกำหนดวงเงิน สัญญาประเภทนี้มักมีวงเงินความคุ้มครองที่สูง และลูกค้าแทบจะไม่ต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลเลยเมื่อเข้ารักษาเป็นผู้ป่วยใน ทั้งนี้แลกมาด้วยค่าเบี้ยประกันที่ค่อนข้างสูง

 

  • ประกันสุขภาพแบบแยกค่าใช้จ่าย: ให้ความคุ้มครองโดยกำหนดวงเงินต่อหมวดค่าใช้จ่าย โดยลูกค้าเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนเกิน อย่างไรก็ดีมีข้อดีที่เบี้ยประกันไม่สูงมากนัก

 

ผู้อ่านคงอยากถามว่าแล้วความคุ้มครอง OPD จำเป็นต้องมีไหม? ถ้าตอบในมุมของการวางแผนการเงินอาจไม่ได้จำเป็นมากนักเนื่องจากการรักษา OPD มักเป็นโรคทั่วไป ค่าใช้จ่ายก็จะไม่สูงมากนักอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ อย่างไรก็ดีในมุมของการดูแลสุขภาพ การที่เราไม่มีความคุ้มครอง OPD อาจทำให้เราเลือกที่จะไม่ไปพบแพทย์เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ซึ่งอาจทำให้การเจ็บป่วยรุนแรงขึ้นได้

 

3. ความคุ้มครองสอดคล้องกับงบประมาณหรือไม่?

 

ขั้นตอนนี้เป็นการเปรียบเทียบความคุ้มครองที่เราจะได้รับจากแบบประกันสุขภาพกับเบี้ยประกันที่จะต้องจ่าย โดยผมขอพาคุณผู้อ่านกลับมาที่โลกความจริงก่อนครับว่า ‘เรามีงบประมาณพอจะจ่ายเบี้ยประกันไหม?’ คำว่า ‘พอ’ ในที่นี้ต้องเพียงพอสำหรับการจ่ายเบี้ยประกันได้ทุกปีเพื่อรับความคุ้มครองอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตัวแทนขายประกันชีวิตจะมีข้อมูลตารางเบี้ยประกันที่จะแสดงให้เห็นค่าเบี้ยประกันตามช่วงอายุ ช่วยให้เราวางแผนค่าใช้จ่ายในอนาคตได้ อย่างไรก็ตาม ตารางเบี้ยประกันตามช่วงอายุเป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น เบี้ยประกันสุขภาพในอนาคต เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น อัตราการจ่ายสินไหม อัตราเงินเฟ้อของค่ารักษาพยาบาล เป็นต้น ซึ่งเราควรจะเผื่องบประมาณไว้ด้วย

 

4. เคล็ดลับ – ทำประกันสุขภาพให้คุ้มที่สุด

 

ประกันสุขภาพที่ผมมักจะแนะนำโดยเฉพาะสำหรับมนุษย์เงินเดือนที่มีสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลจากนายจ้าง คือ ‘ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย’ เหตุผลหลักคือเรื่องของความคุ้มครองที่ครอบคลุมมากกว่า ทำให้เราไม่ต้องกังวลถึงค่าใช้จ่ายส่วนเกินกรณีที่ต้องเข้าโรงพยาบาล ทั้งนี้มีเคล็ดลับในการทำประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย ให้จ่ายเบี้ยประกันต่ำลง โดย ณ ปัจจุบัน ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย มีตัวเลือกให้ลูกค้าเลือก ‘ความรับผิดส่วนแรก (Deductible)’ ซึ่งเป็นการระบุวงเงินที่ผู้เอาประกันจะต้องชำระค่ารักษาพยาบาลด้วยตนเองก่อน และส่วนที่เกินวงเงินดังกล่าว บริษัทประกันจะเป็นผู้รับผิดชอบ ตัวอย่างเช่นค่ารักษาพยาบาล 100,000 บาท โดยมี แผนความรับผิดส่วนแรก 20,000 บาท ในกรณีนี้ผู้เอาประกันจะต้องชำระด้วยตนเอง 20,000 บาท และบริษัทประกันจะรับผิดชอบ 80,000 บาท เป็นต้น

 

แม้ว่ากรณีนี้ทำให้ต้องกลับมามีภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล แต่ก็มีข้อดีที่ทำให้ค่าเบี้ยประกันรายปีลดลงอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้สำหรับผู้ที่มีสวัสดิการค่ารักษาจากนายจ้าง สามารถที่จะใช้ความคุ้มครองจากสวัสดิการในการชำระค่ารักษาพยาบาลส่วนแรก (Deductible) ด้วยหลักการดังกล่าวจึงทำให้การเข้ารับการรักษาพยาบาลได้รับความคุ้มครองเต็มเปรียบเสมือนไม่มีความรับผิดส่วนแรก

 

ทั้งหมดทั้งมวลเป็นแนวคิดในการพิจารณาประกันสุขภาพให้เหมาะสมกับความต้องการ ทั้งนี้มีประเด็นที่ไม่เอ่ยถึงไม่ได้นั่นก็คือ เงื่อนไขของการร่วมจ่าย (Copayment) ที่ถูกนำมาใช้สำหรับประกันสุขภาพที่ได้รับอนุมัติความคุ้มครองตั้งแต่เดือนมีนาคม 2568 ซึ่งสร้างความกังวลต่อผู้ที่อยู่ระหว่างตัดสินใจทำประกันสุขภาพ 

 

ทั้งนี้เมื่อพิจารณาเงื่อนไขแล้ว หากเราไม่มีพฤติกรรมการรักษาที่เกินความจำเป็นทางการแพทย์ จะมีโอกาสน้อยมากที่ผู้ทำประกันต้องร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาลจากผลของเงื่อนไขนี้ ดังนั้นประกันสุขภาพยังคงเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการบริหารความเสี่ยง แม้จะมีเงื่อนไขของการร่วมจ่าย (Copayment) ก็ตาม 

 

สำหรับในบทความหน้าเราจะยังอยู่ในจักรวาลของแบบประกันที่เกี่ยวข้องกับความคุ้มครองด้านสุขภาพ ซึ่งจะเป็นแบบประกันใด และนำมาใช้อย่างไร ไว้จะมาเล่าให้ฟังครับ

 

ภาพ: champpixs / Getty Images

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising