×

‘ซีดาน’ อัจฉริยะลูกหนัง ผู้เปลี่ยน ‘เรอัล มาดริด’ ให้เล่นเป็นทีม

04.06.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

7 Mins. Read
  • ในช่วงแรก ซีเนดีน ซีดาน ยังไม่ได้รับความเชื่อมั่นในการขึ้นมารับตำแหน่งผู้จัดการทีมของเรอัล มาดริด เพื่อกอบกู้ความล้มเหลวที่ ราฟาเอล เบนิเตซ อดีตกุนซือของทีมในเวลานั้นฝากไว้ เนื่องจากมีประสบการณ์คุมทีมไม่มากพอ
  • หลังเข้ามาคุมทีมในปี ค.ศ. 2016 ซีดานจัดการเปลี่ยนแปลงความเป็นกาลาคติกอสของทีมที่อุดมไปด้วยซูเปอร์สตาร์ดังให้กลายเป็นทีมซีดานที่เน้นเล่นง่ายๆ เล่นกันเป็นทีม และเพิ่มผู้เล่นในบทบาทมิดฟิลด์ตัวรับอย่าง ‘คาเซมิโร’ ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกับ ‘โคลด มาเกเลเล่’ ในยุคที่เขายังเป็นผู้เล่นภายใต้การคุมทีมของ บิเซนเต้ เดล บอสเก้
  • เขามีโอกาสได้เรียนรู้ศาสตร์ด้านการคุมทีมฟุตบอลจากโค้ชชื่อดังมากมาย ทั้ง โจเซ มูรินโญ อดีตกุนซือเรอัล มาดริด, คาร์โล อันเชล็อตติ รวมถึงเปป กวาร์ดิโอลา ผ่านการเป็นที่ปรึกษา, ผู้ช่วยผู้จัดการทีม และการเดินทางไปเยี่ยมชมการฝึกซ้อมตามลำดับ

     เสียงเพลง A Sky Full of Stars ของ Coldplay ดังขึ้นแทบจะทันทีที่เสียงนกหวีดสุดท้าย ณ มิลเลนเนียม สเตเดียม ดังขึ้น

     หลังคาสนามที่ถูกปิดกั้นด้วยเหตุผลเรื่องความปลอดภัยอาจจะกั้นไม่ให้มองเห็นแสงดาวที่พราวบนฟ้า แต่สำหรับเหล่า ‘Los Merengues’ พวกเขาต่างรู้ดีว่าเหนือท้องฟ้าที่คาร์ดิฟฟ์เต็มไปด้วยดวงดาวที่งดงามขนาดไหน

     เรอัล มาดริด ไม่เพียงแต่คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก (UEFA Champions League) สมัยที่ 12 หรือ La Duodecima มาครองได้เท่านั้นครับ แต่พวกเขายังทำลายอาถรรพ์ที่ไม่เคยมีใครทำได้ด้วยการเป็นทีมแรกที่สามารถป้องกันตำแหน่งแชมป์เอาไว้ได้ นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงชื่อและรูปแบบรายการชิงแชมป์สโมสรยุโรป จากยูโรเปียนส์คัพ มาเป็นยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก

     ทีมสุดท้ายที่เคยทำได้คือ ‘ปีศาจแดงดำ’ เอซี มิลาน ในยุคยิ่งใหญ่ภายใต้การนำทีมของ อาร์ริโค ซาคคี กุนซืออัจฉริยะผู้ทำให้ระบบ ‘เพรสซิง’ เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก เช่นเดียวกับ ‘สามทหารเสือชาวดัตช์’ มาร์โก แวน บาสเทน, รุด กุลลิต และแฟรงก์ ไรจ์การ์ด ซึ่งสามารถป้องกันแชมป์ได้ในปี 1990

     หลังมีการเปลี่ยนรูปโฉมมาเป็นยูฟ่า แชมเปียนส์​ลีก มีหลายทีมที่มีโอกาสจะป้องกันตำแหน่งแชมป์ได้แต่ก็ยังไม่มีใครทำได้สำเร็จ รวมถึงยูเวนตุสที่ผ่านเข้าชิงชนะเลิศถึง 3 ครั้งติดต่อกันในช่วงปี 1996-1998

     ความสำเร็จครั้งนี้จึงไม่ได้นับเป็นแค่ ‘ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่’ แต่มันคือประวัติศาสตร์ที่จะถูกบันทึกไว้ตลอดกาล

     และชื่อคนที่น่าจะถูกจดจำมากที่สุดจากเหตุการณ์นี้คือ ‘ซีเนดีน ซีดาน’ ยอดกุนซือบันลือโลก

 

Photo: JAVIER SORIANO, AFP/Profile

โอกาสที่ไม่คาดฝัน

     ความเก่งกาจของซีดานเมื่อครั้งยังวาดลวดลายบนฟลอร์หญ้านั้นหากใครเกิดทัน ย่อมรู้กันดีครับ

     ‘หนึ่งไม่มีสอง’ คือคำจำกัดความที่น่าจะดีที่สุดสำหรับอัครศิลปินลูกหนังรายนี้

     ความงดงามในการเล่นที่เรียบง่าย เล่นน้อยแต่ได้ผลมาก สเต็ปเท้าที่สวยงาม และความมหัศจรรย์ที่พร้อมดลบันดาลให้เกิดขึ้นได้ทุกวินาที คือสิ่งที่ทำให้โลกลูกหนังทั้งใบต้องคารวะยอดนักเตะหมายเลข 10 รายนี้

     20 ปีที่ผ่านมา ถึงเราจะได้พบกับนักเตะในตำแหน่ง ‘จอมทัพ’ มากมาย แต่ก็ไม่มีใครที่จะคลาสสิกได้เท่ากับดาวเตะสายเลือดแอลจีเรียนรายนี้

     ยกเว้นบทบาทในการคุมทีมฟุตบอล น้อยคนนักที่เชื่อว่าเขาจะสามารถสร้างความมหัศจรรย์ได้เหมือนในสมัยที่ยังเป็นผู้เล่น

     ว่ากันตามตรงในวันที่ซีดานรับตำแหน่งนายใหญ่ ‘ราชันชุดขาว’ เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2016 แทบไม่มีใครเชื่อมือเขาด้วยซ้ำ แม้กระทั่งฟลอเรนติโน เปเรซ ประธานสโมสร หรือแม้แต่ตัวของเขาเอง

     เหตุผลเป็นเพราะในเวลานั้นซีดานไม่เคยมีประสบการณ์การคุมทีมอาชีพแบบจริงจังมาก่อน มากที่สุดสำหรับเขาคือการคุมทีมกาสติญา (Castilla) หรือทีมชุดสองของมาดริดในช่วงระยะเวลาที่ยังไม่ถึง 2 ปี ขณะที่ผลงานกาสติญาภายใต้การนำทัพของเจ้าตัวก็ใช่ว่าจะดีเด่สักเท่าไร

     ถึงแม้ว่าการผลักดันเขาเพื่อก้าวสู่การเป็นนายใหญ่ในซานติอาโก เบอร์นาบิว เป็นสิ่งที่ถูก ‘กำหนด’ เอาไว้อยู่แล้ว เพราะเรอัล มาดริด เองก็อยากจะมีใครสักคนที่ทำได้เหมือนเปป กวาร์ดิโอลา อดีตผู้จัดการทีมฟุตบอลบาร์เซโลนา (การมีอดีตนักฟุตบอลลูกหม้อของสโมสรพาทีมประสบความสำเร็จในฐานะผู้จัดการทีม)

     แต่เอาเข้าจริงก่อนจะสมหวัง ซีดานเองก็ ‘อกหัก’ มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อพลาดโอกาสจะได้สานงานต่อจากคาร์โล อันเชล็อตติ ในช่วงปิดฤดูกาล 2014-2015 หลังเปเรซเลือกราฟาเอล เบนิเตซ อดีตลูกหม้อเข้ามาคุมทีมต่อจากอันเชล็อตติ เพราะไม่คิดว่าซีดานจะพร้อมสำหรับงานใหญ่ ซึ่งการตัดสินใจครั้งนั้นเป็นการตัดสินที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรงเมื่อนักเตะราชันชุดขาวออกอาการ ‘ไม่เอา’ เบนิเตซกันถ้วนหน้า โดยเฉพาะแกนนำในทีมหลายคน

     สถานการณ์ของเรอัล มาดริด เข้าขั้นวิกฤติตั้งแต่ก่อนเข้าช่วงสิ้นปี 2015 และมีการประเมินแล้วว่าเปเรซไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการสั่งปลดราฟาเอลออกจากตำแหน่ง และทำให้ซีดานได้รับเผือกร้อนลูกนี้มาอย่างไม่ทันตั้งตัว

     ในทางกลับกันแทนที่เขาจะขวัญหนีดีฝ่อ เจ้าตัวกลับ ‘ตั้งใจ’ และ ‘เต็มใจ’ รับหน้าที่นี้เอาไว้

     เพราะโอกาสที่เขารอคอยมาตลอดได้มาหยุดอยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว

 

Photo: JAVIER SORIANO, AFP/Profile

จาก ‘กาลาคติกอส’ สู่ ‘ทีมซีดาน’

     ถึงจะมีสถานะเป็น ‘ไอคอน’ ของเรอัล มาดริด แต่ไม่มีใครคิดว่างานของซีดานจะเป็นงานง่ายแม้แต่น้อย

     ในช่วงเวลาดังกล่าวเรอัล มาดริด มีปัญหาภายในทีมที่หนักหน่วง ตั้งแต่โครงสร้างจนถึงตัวบุคคล ยุ่งเหยิงอีรุงตุงนังไปหมด

     แต่สิ่งที่ซีดานทำไม่ใช่การโอดครวญหรือเรียกร้องอะไรกับใคร เขาแค่ตั้งใจก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองให้ดีที่สุดด้วยจิตใจที่เยือกเย็น

     ‘บารมี’ ที่สั่งสมมาอาจมีส่วนช่วยให้การทำงานของเขาง่ายขึ้น เพราะเหล่าสตาร์ในทีมให้เกียรติและเคารพซีดาน พร้อมที่จะรับฟังเขาทุกอย่าง (ต่างจากเบนิเตซที่ไม่ได้รับการเคารพมากพอ) โดยเขาค่อยๆ ใช้เวลาในการค้นหาคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับผู้เล่นทุกคน

     จนเวลาผ่านไปเรอัล มาดริด ได้เปลี่ยนจากทีม ‘กาลาคติกอส’ ทีมที่อุดมไปด้วยซูเปอร์สตาร์ซึ่งมีมากพอๆ กับปัญหาให้กลายเป็น ‘ทีมซีดาน’ ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะในทีมซีดาน ไม่มีใครเป็นซูเปอร์สตาร์ ทุกคนมีหน้าที่ต้องเล่นเพื่อทีม เพื่อเพื่อนร่วมทีม และเพื่อแฟนบอล

     เรอัล มาดริดในยุคของเขาไม่ใช่ทีมที่เล่นได้น่าตื่นตาตื่นใจที่สุด ไม่มีระบบการเล่นที่โดดเด่นเหมือนบาร์เซโลนา ในวันที่เล่น Tiki-Taka ชวนให้ใครๆ ตาลุกวาว แต่ซีดานเน้นการเล่นที่เรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพซึ่งเป็น ‘ตัวตน’ ที่ชัดเจนของเขา

     ในความรู้สึกส่วนตัว ผมมองว่าทีมของซีดานมีส่วนคล้ายกับเรอัล มาดริด ในวันที่เขายังเป็นนักฟุตบอลภายใต้การคุมทีมของบิเซนเต้ เดล บอสเก้ อดีตนายใหญ่อยู่ไม่น้อย

     หนึ่งในสิ่งที่ชวนให้คิดเช่นนั้นคือการที่ซีดานสร้างทีมที่มี ‘คาเซมิโร’ กองกลางฮาร์ดแมนชาวบราซิลเป็นตัวหลักหน้าแผงแบ็กโฟร์ ไม่ต่างอะไรจากในวันเวลาของเขาที่มีโคลด มาเกเลเล่ คอยเป็น ‘คนแบกน้ำ’ (water carrier) ช่วยปัดกวาดเช็ดถูเกมรุกของคู่ต่อสู้ให้

     แต่ในยุคของบิเซนเต้ เดล บอสเก้ เรอัล มาดริด ยังเป็นทีมที่อิงความสามารถเฉพาะตัวของผู้เล่นมากกว่า ซึ่งการที่ซีดานสามารถเปลี่ยนแปลงทีมที่เล่นเพื่อตัวเองตลอดให้กลายมาเป็นทีมที่เล่นในแนวทางที่ต่างกันคนละขั้วย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายเลยครับ

     ไม่เคยมีใครทำแบบนั้นในทีมที่มีทั้งคริสเตียโน โรนัลโด, แกเร็ธ เบล, คาริม เบนเซมา, ฮาเมส โรดริเกวซ, โทนี โครส, ลูก้า โมดริช, มาร์เซโล และเซร์คิโอ รามอส อยู่ในทีมเดียวกันได้

     แต่ซีดานทำได้ และทำได้อย่างละมุนละไมด้วย

     นั่นคือความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้วครับ

 

Photo: Glyn KIRK, AFP/Profile

น้ำครึ่งแก้วที่เติมไม่มีวันเต็ม

     จากประสบการณ์ส่วนตัวที่ผมอยู่ในแวดวงกีฬามาระยะเวลาหนึ่งซึ่งนานพอจะ ‘รู้เห็น’ อะไรอยู่บ้าง – สิ่งที่เป็นปัญหาสำหรับคนที่เคยเป็นคนเด่นคนดังมาก่อนและโดดลงมาทำงานคุมทีมคือ ‘อีโก้’

     ความจริงก็ไม่เฉพาะแวดวงกีฬาหรอกครับ เรื่องทำนองนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับใครก็ได้ทั้งนั้น ซึ่งเราอาจเพิ่มโอกาสล้มเหลวแบบไม่รู้ตัวเพียงเพราะความเชื่อมั่นผิดๆ และความหยิ่งทะนงตนว่าตัวแน่

     แต่สำหรับซีดานอดีตนักฟุตบอลที่เก่งที่สุดของยุคสมัย เขากลับทำตัวเหมือนแก้วที่มีน้ำแค่ครึ่งใบ พร้อมเปิดใจเรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ

     จากเดิมที่เคยรับบททูตสโมสร ซีดานเริ่มได้โอกาสเข้าใกล้งานคุมทีมในปี 2010 ด้วยการเป็นที่ปรึกษาพิเศษของ ‘โจเซ มูรินโญ’ อดีตกุนซือเรอัล มาดริด และหนึ่งในกุนซือที่เก่งที่สุดในโลกขณะนั้น โดยซีดานจะอยู่ร่วมกับทีมตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการประชุมทีม เดินทางไปกับทีม ดูการฝึกซ้อม

     ต่อมาได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการสโมสรด้านเทคนิค และเมื่อคาร์โล อันเชล็อตติ โค้ชชาวอิตาเลียนเข้ามาคุมทีม เขาก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยของ ‘คาร์เล็ตโต’

     ช่วงระยะเวลาเหล่านี้คือช่วงเวลาที่มีค่าสำหรับซีดานในการเก็บเกี่ยวองค์ความรู้จากเหล่าโค้ชที่ดีที่สุดของโลก

     เช่นเดียวกับการเดินทางไปเยี่ยมชมการฝึกซ้อมของบาเยิร์น มิวนิก สมัยที่มี เปป กวาร์ดิโอลา เป็นนายใหญ่ ในช่วงที่ต้องเข้ารับการอบรมและเตรียมสอบโปรไลเซนส์ (ใบรับรองสำหรับผู้ฝึกสอนฟุตบอล) โดยอาจกล่าวได้ว่าเปปเองก็เป็นหนึ่งใน ‘แรงบันดาลใจ’ ที่สำคัญสำหรับคนอย่างซีดานเหมือนกัน

     มาวันนี้ชื่อของซีเนดีน ซีดาน ถูกจัดให้อยู่ในสถานะเดียวกับเปปไปเรียบร้อยแล้ว จากผลงานการคว้าแชมป์ 5 รายการในรอบ 18 เดือน รวมถึงการสร้างประวัติศาสตร์พา เรอัล มาดริด เป็นทีมแรกที่ป้องกันแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกได้ 2 สมัย

     และยังเป็นกุนซือราชันชุดขาวคนแรกที่พาทีมคว้า ‘ดับเบิลแชมป์’ (ลาลีกา, ยูโรเปียนส์คัพ/แชมเปียนส์ลีก) ได้ในรอบ 59 ปี นับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ทำได้ในยุคของ อัลเฟรโด ดิ สเตฟาโน

     บ้างก็บอกว่าซีดานเหมือน ‘ไมดาส’ ที่สามารถเปลี่ยนทุกอย่างให้เป็นทองได้

     แต่ผมเชื่อครับว่าซีดานไม่ได้สนใจอะไรกับเสียงยกยอปอปั้นเหล่านั้น เพราะมันไม่ได้มีความหมายอะไรกับชีวิต

     สิ่งที่เขาตั้งใจจะทำต่อไปคือการพยายามนำทีมประสบความสำเร็จให้ได้มากที่สุดมากกว่า

     และผมเองเชื่อว่าคนทั้งโลกก็อยากรู้เหมือนกันครับว่าคนอย่างซีดานจะนำราชันชุดขาวก้าวไปได้ไกลแค่ไหน 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X