ชีวิตยังเคลื่อนไปบนแกนของความหนาวและอุณหภูมิที่กรีดเฉือนเลือดเนื้อสำหรับการออกเดินทางครั้งนี้ มีสถิติบันทึกไว้ว่า อุณหภูมิในแอนตาร์กติกาเคยต่ำสุดติดลบ 90 องศาเซลเซียส นั่นมันยิ่งกว่าโรงงานน้ำแข็งอีกนะ
เพราะสภาพอากาศแบบนี้นี่เอง ในช่วงฤดูหนาวพวกนักวิจัยจะพากันเผ่นกลับบ้านเหลือแค่ไม่ถึงพันคนเท่านั้น ส่วนนักท่องเที่ยวยิ่งไม่ต้องพูดถึง ไม่มีสักหน่วยเดียว เพราะเรือจะหยุดให้บริการ
ฤดูกาลแห่งการมาเยือนขั้วโลกใต้ จึงอยู่ระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงเมษายนเท่านั้น ที่เหลือคือช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนของแอนตาร์กติกา และสัตว์นานาชนิดที่บางส่วนยังคงอยู่ บางส่วนอพยพหนีหนาวไปเหมือนกัน
และอีกวันหนึ่งของการเดินทางที่ทำให้ลืมเรื่องอุณหภูมิที่ดำดิ่งไปสนิทใจ เมื่อเรือเคลื่อนผ่าน Lemaire Channel นี่คือมุมที่บรรดาตากล้องยกให้เป็นนางแบบที่ขึ้นกล้องที่สุดในแอนตาร์กติกา
ตลอดระยะทางราว 11 กิโลเมตรที่เรือ Ortelius เคลื่อนผ่าน Lemaire Channel อย่างช้าๆ คนทั้งเรือแทบลืมหนาว ทุกคนพากันหามุมส่องวิว แล้วลั่นชัตเตอร์กันเสียงระงมไปหมด
ต่อให้หนาวแค่ไหน ร้อยทั้งร้อยไม่มีใครขลุกอยู่ในห้องแน่นอน เมื่อรอบตัวคือเทือกเขาสูงทะมึนและเคร่งขรึม และผืนน้ำที่สงบนิ่ง เมื่อถูกแสงลงห่ม ก็ปรากฏเงางามทาบลงบนผืนน้ำ นาทีนั้นภูเขาและสายน้ำกลายเป็นหนึ่งเดียว พอสายเข้าเมฆหมอกมาคอยคลอเคลียเกาะแกะตามทิวเขา ยิ่งเติมให้ฉากธรรมชาติที่อยู่รอบตัวงดงามขึ้นอีก
เมื่อขึ้นไปถึงจุดชมวิว ก็ลืมความทุลักทุเลไปหมดสิ้น เพราะรอบตัวคือความงดงาม
เราถูกโอบกอดไว้ด้วยธรรมชาติอันแสนบริสุทธ์ ไกด์บอกให้ทุกคนนั่งสงบนิ่งสักหนึ่งนาที
เพื่อดื่มด่ำกับธรรมชาติที่อยู่รอบตัวอย่างแท้จริง โดยไม่ถ่ายรูป ไม่คุยกัน
เมื่อทุกอย่างเงียบ เสียงของธรรมชาติจึงดังก้องในหัวของทุกคน เราต่างพบว่า
ความเงียบมันช่างไพเราะจับใจ
ช่องแคบ Lemaire Channel ว่าพีกแล้ว พอเรือเคลื่อนไปถึง Paradise Harbour ไกด์ของเรือบอกว่านี่เป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ที่ผู้มาเยือนแอนตาร์กติกาไม่ควรพลาด รูปพรรณสัณฐานของที่นี่คล้ายกับที่ Neko Harbour มาก ไม่เหมือนกันตรงที่ไม่มีหน้าหาดให้เพนกวินได้ลงไปแหวกว่ายในน้ำเท่านั้นแหละ แต่มีเนินเขาสูงชันให้เดินไต่ขึ้นชมวิวเหมือนกัน
ชาวบ้านเดินย่ำหิมะไต่ขึ้นเขากันไปหมดแล้ว ฉันมัวแต่สนุกสนานกับการลั่นชัตเตอร์ใส่เพนกวินที่ยืนผึ่งแดดบนหิมะกันอย่างสบายใจราวกับว่าหิมะเป็นแค่สำลีเบาๆ นุ่มๆ ให้เหยียบย่ำไปบนพื้น
เมื่อจ้วง 2 เท้าลงไปบนหิมะเพื่อไต่ขึ้นเขา ก็พบว่าชีวิตไม่ง่ายอย่างที่คิด การเดินไต่ไปบนหิมะที่สูงเกือบท่วมบู๊ตมันง่ายซะที่ไหนกัน แต่เมื่อขึ้นไปถึงจุดชมวิว ก็ลืมความทุลักทุเลไปหมดสิ้น เพราะรอบตัวคือความงดงาม เราถูกโอบกอดไว้ด้วยธรรมชาติอันแสนบริสุทธ์ ไกด์บอกให้ทุกคนนั่งสงบนิ่งสักหนึ่งนาที เพื่อดื่มด่ำกับธรรมชาติที่อยู่รอบตัวอย่างแท้จริง โดยไม่ถ่ายรูป ไม่คุยกัน เมื่อทุกอย่างเงียบ เสียงของธรรมชาติจึงดังก้องในหัวของทุกคน เราต่างพบว่า ความเงียบมันช่างไพเราะจับใจเสียเหลือเกิน
https://www.youtube.com/watch?v=XdVg-aGuzjY&feature=youtu.be
ในแต่ละวันมนุษย์เราบรรจุอะไรต่อมิอะไรเข้าไปกักเก็บไว้ในหัวมากมาย ทั้งเรื่องมีสาระและแห้งแล้งสาระ ทั้งความเครียด ความวิตกกังวล ความกลัว ลองนั่งนิ่งๆ แล้วปล่อยให้ใจว่างเปล่า คุณจะพบว่าความสุขอยู่ใกล้ตัวมาก และทุกคนสามารถผลิตความสุขเหล่านี้ได้ด้วยตัวเอง
เย็นนั้นฉันจึงเดินไต่เขาลงมาด้วยความอิ่มเอมในรสชาติของความสุข แต่มันยังไม่หมดเท่านั้น เพราะไกด์ยังพาชาวเรือนั่งเรือยางลำน้อยล่องขยับเข้าใกล้ธารน้ำแข็งโบราณ บางครั้งธารน้ำแข็งพังโครมลงมา เสียงดังเหมือนตึกถล่ม ทว่ากลับงดงามยิ่งนัก
ระหว่างที่ชาวเรือหลับนอนชอนไชไออุ่นจากผ้าห่มนั้น เรือ Ortelius ยังคงเคลื่อนไปอย่างไม่ได้พักผ่อนหย่อนสมอ จนรุ่งเช้าที่เรือเคลื่อนไปถึง Foyn Harbour ที่อยู่บนเกาะ Enterprise นั่นแหละ เรืออึดลำนี้ถึงได้ทอดสมอแน่นิ่ง
ดูเหมือนไม่ได้มีอะไรพิเศษเลยสักนิดสำหรับที่นี่ แต่ทำไมชาวเรือแต่ละคนถึงทำท่าทีผุดลุกผุดนั่งไม่เป็นอันกินข้าวกินปลากันล่ะนั่น?
พอฉันลุกขึ้นไปดูข้างเรือ ถึงได้รู้ว่าเพราะรอบเรือเต็มไปด้วยวาฬหลังค่อม มันเป็นภาพที่กระตุกให้ทุกคนวางช้อนจากมื้อเช้า แล้วพุ่งไปคว้ากล้องราวกับว่า เรากำลังตามล่าวาฬเหล่านี้เอาไว้เป็นอาหารมื้อกลางวัน เพราะทุกคนดูจริงจังเหลือเกิน
ที่จริงแค่เราเห็นวาฬตัวเดียวลอยตัวขึ้นมาอวดหางแค่นี้ก็สุขจะแย่แล้ว แต่วันนั้นเราเหมือนถูกล้อมจับด้วยวาฬหลังค่อม จะเร่ไปทางไหนของเรือก็เจอหมด
พูดถึงวาฬหลังค่อม ต้องบอกว่าในแถบแอนตาร์กติกาสามารถเจอได้มากกว่าย่านอื่นๆ เดี๋ยวนี้อาจจะมีกว่า 3 หมื่นตัว ก่อนหน้านี้อาจจะถูกล่าเพื่อเอาไข เนื้อ และกระดูกไปเยอะ แต่โชคดีที่กระแสการอนุรักษ์วาฬหลังค่อมคมชัดขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มีวาฬหลังค่อมมากขึ้นเรื่อยๆ
จะเรียกว่าตั้งแต่ตัดสายสะดือให้การเดินทาง วันนี้เป็นวันที่สุดของวาฬจริงๆ วาฬหลังค่อมดาหน้ากันออกมาปรากฏตัวอยู่ครึ่งวัน พวกมันหลอกล่อผลุบโผล่ราวกับเปิดการแสดง บางครั้งไปเกยอยู่ใกล้เรือแคนูแค่เอื้อม
เป็นการเดินทางที่ทั้งปิติ ทั้งอิ่มเอม ไม่ใช่แค่เพนกวิน แมวน้ำ หรือวาฬ แต่ฉันค้นพบว่าความมหัศจรรย์จากธรรมชาติงดงามพอๆ กับมิตรภาพดีๆ จากเพื่อนร่วมทางอีก 90 กว่าชีวิต นั่นแหละความดีงามที่ได้จากการเดินทางสู่แอนตาร์กติกาในครั้งนี้
Photo: กาญจนา หงษ์ทอง
ฤดูกาลแห่งการมาเยือนขั้วโลกใต้อยู่ระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงเมษายน