เพราะโลกใต้ฝ่าเท้าหอมหวานเกินกว่าจะจองจำตัวเองไว้ใต้ชายคาบ้าน แถมบังเอิญเป็นพวกที่มีระดับความซุกซนบนปลายเท้าสูงกว่าปกติ การหอบผ้าผ่อนหนีตามทวีปสีขาวอย่างแอนตาร์กติกา (Antarctica) จึงเกิดขึ้นเป็นรูปเป็นร่างหลังจากก่อร่างสร้างแผนได้ไม่นาน
ทวีปสีขาวโรยตัวอยู่ใต้สุดของแผนที่โลก แต่ลองคนเรามีความพยายามเสียอย่าง ไม่เคยอ่อนข้อให้อุปสรรค ไกลแค่ไหนก็ดั้นด้นไปหาจนได้
หลังจากเหาะเหินเดินอากาศกว่า 30 ชั่วโมง ก็พาตัวเองมาหย่อนตัวลงบนเมืองสุดท้ายของปลายแผนที่โลกอย่างอูซัวยา (Ushuaia) ได้สำเร็จ แบกร่างโงนเงนและใบหน้าที่ถูกลมหนาวเฆี่ยนตีไปประกอบร่างที่เรือนพักใจกลางเมืองอูซัวยา ทั้งเจ็ตแล็กและอากาศหนาวรวมหัวกันลงโทษคนบ้านใกล้เส้นศูนย์สูตรจนอ่วม
ยังหรอก นี่แค่หนาวหลอกๆ หนาวจริงรออยู่อีก 12 วันข้างหน้าต่างหาก ฉันชอบเมืองอูซัวยาตรงที่เป็นชุมทางคนล่องเรือเข้าขั้วโลกใต้ จะหาที่นั่งว่างสำหรับล่องเข้าขั้วโลกใต้แบบนาทีสุดท้ายก็มี หรือใครเตรียมเสบียงกันหนาวมาไม่พอ จะมาหาเช่าอุปกรณ์แถวนี้ก็มีทุกรูปแบบและทุกแขนงของการฟาดฟันกับลมหนาว
เป็นวันอากาศดีที่ฉันนั่งแช่หิมะอ้อยอิ่ง ผึ่งแดดอยู่บนเนินเขา ดวงตะวันค่อยๆ หย่อนตัวลงแนบผืนน้ำ แล้วก็พบว่าการนั่งดูพระอาทิตย์ตกในแอนตาร์กติกา นี่เป็นประสบการณ์แสนวิเศษที่ไม่เคยพร่าเลือนไปจากใจ ธรรมชาติช่างยิ่งใหญ่ ทรงพลัง และน่าอภิรมย์เหลือเกิน
เรือลำน้อยใหญ่ทอดสมออยู่ตรงท่าเรือใกล้กับป้าย ‘El fin del mundo’ ถอดความเป็นภาษาอังกฤษคือ ‘The end of the world’ นั่นเอง
เรือบางลำเพิ่งกลับจากภารกิจลุยขั้วโลกใต้ บางลำเตรียมพร้อมสำหรับการออกผจญภัยครั้งใหม่ ที่นี่เองฉันพบว่าลูกเรือส่วนใหญ่เป็นชาวฟิลิปปินส์ พวกเขาสาละวนกับการลำเลียงเสบียงขึ้นเรือ บ้างคงเบื่อชีวิตหนาวๆ ในแอนตาร์กติกาเต็มที เลยลงมาเดินช้อปปิ้งตุนเสบียงส่วนตัวเตรียมไว้สำหรับการรอนแรมกลางทะเลครั้งใหม่
เรือ Ortelius ของบริษัท Oceanwide Expeditions ที่ฉันต้องฝากผีฝากไข้ไว้ 12 วันหลังจากนี้ทอดสมอรอนักเดินทางชุดใหม่อยู่ หน้าตาและสารรูปมันไม่เหมือนเรือสำราญลำเท่าตึกที่ฉันเคยฝากชีวิตไว้สักเท่าไร แน่นอนล่ะ มันดูบึกบึนแข็งแรง เพราะต้องลุยน้ำแข็งได้อย่างไม่โอดครวญ
สภาพห้องหับบนเรือดีกว่าที่ฉันจินตนาการไว้เยอะเลย อย่างน้อยแค่ในเรือมีฮีทเตอร์ มีผ้าห่มให้ชอนไชไออุ่น ฉันก็สบายใจแล้ว ถึงไม่ใช่เรือสำราญ แต่เรื่องข้าวปลาอาหารคาวหวานนั้นเสิร์ฟกันไม่ขาดปาก โดยเฉพาะตู้กาแฟอัตโนมัติที่บริการกาแฟทุกสายพันธุ์ตลอด 24 ชั่วโมง
กฎกติกาการรอนแรมเข้าขั้วโลกใต้ถูกทีมงานติวกันตั้งแต่ย่างสองเท้าขึ้นเรือเพราะเรากำลังสัญจรเข้าไปพื้นที่อันบริสุทธ์ผุดผ่องและบอบบางของโลกใบนี้
ที่ที่นักท่องเที่ยวถูกตั้งคำถามอยู่บ่อยๆ ว่า แท้จริงแล้วเหมาะควรหรือไม่ที่ทวีปแอนตาร์กติกาต้อนรับนักท่องเที่ยวปีละ 3-4 หมื่นคน หรือแม้แต่นักวิจัยหลายสัญชาติหลายแขนงที่อยู่กันในช่วงซัมเมอร์ 3-4 พันคนก็ถูกตั้งคำถามเช่นกันว่าพวกเขาเข้าไปรบกวนธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมากเกินความจำเป็นหรือไม่
จะเหมาะหรือไม่ก็ตาม แต่นาทีนี้แอนตาร์กติกาเหมือนขนมหวานที่ใครๆ ก็อยากตักเข้าปากสักครั้งในชีวิต ที่เหลือก็แค่สำนึกของผู้มาเยือนที่จะต้องไม่ทำตัวให้เป็นพิษภัยต่อธรรมชาติ
แต่กว่าจะได้ฝ่าด่านไปเจอความมหัศจรรย์ของขั้วโลกใต้ เรือต้องวิ่งผ่าน Drake Passage ช่องแคบที่เป็นจุดปะทะของผืนน้ำจาก 3 แหล่งคือ มหาสมุทรแอตแลนติก มหาสมุทรแปซิฟิก และมีกระแสน้ำวนจากทวีปแอนตาร์กติกามาร่วมวงผสมโรงด้วย จึงเกิดเป็นกระแสน้ำอันปั่นป่วน ระดับความสูงของคลื่นนี่ไม่ต้องพูดถึง เรียกว่าข้าวของอะไรวางบนเตียงไม่ได้เลย ต้องเก็บเข้าตู้ เก้าอี้ตั้งอยู่เฉยๆ ยังหงายได้
กว่าจะผ่านช่องแคบเดรกมาได้ก็เมาเรือระเนระนาดกันทั้งลำ แต่เมื่อผ่านมาได้ คราวนี้ล่ะ มองไปทางไหนก็งามหมดจดไปทุกองศา
แค่ไอซ์เบิร์กลอยเท้งเต้งอยู่กลางน้ำยังงามเลย ยิ่งจังหวะไหนเจอพวกแมวน้ำนอนผึ่งแดดอยู่บนก้อนน้ำแข็งนี่รัวชัตเตอร์กันเหมือนหิววิวเลย
ผ่านจุดพีกมาได้ คราวนี้เรือจอดแวะให้ลงเหยียบแผ่นดินแอนตาร์กติกาแทบทุกวัน วันแรกจอดที่ Half Moon Island เกาะนี้อยู่ในเขตหมู่เกาะเชตแลนด์ใต้ (South Shetland Island) มีฝูงเพนกวินชินสแตรปยืนจับกลุ่มกันเหมือนมาประท้วงภาวะโลกร้อน แมวน้ำสายพันธ์ุเฟอร์ซีลก็นอนผึ่งแดดอยู่ด้วย
ถัดจาก Half Moon Island เรือ Ortelius ยังพาแวะ Cuverville Island เกาะที่มีเพนกวินเจนทูเดินเพ่นพ่านอยู่เต็มเกาะเลย เพนกวินเจนทูจะมีปากสีส้ม และมีสีขาวคาดตรงข้างตาทั้งสองข้าง
เกาะนี้แลนด์สเคปดีมาก ด้านหน้าหาดของเกาะจะเห็นฝูงเพนกวินยืนเรียงกันเล่นน้ำ บ้างก็ลงไปดำผุดดำว่ายในน้ำ บ้างก็สะบัดปีกส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว โดยมีไอซ์เบิร์กก้อนโตๆ ลอยละล่องอยู่ในน้ำเป็นฉากหลัง
เรือเคลื่อนมาถึง Neko Habour อีกจุดหนึ่งในแอนตาร์กติกาที่ชาวเรือยกให้เป็นไฮไลต์ นอกจากเป็นธารน้ำแข็งผืนใหญ่และมีเนินเขาให้ไต่แล้วยังมีเพนกวินเดินระเกะระกะกันทั่วเกาะ
เดินไต่เขาขึ้นไปถึงจุดชมวิวด้านบนแล้วมองลงมาถึงได้รู้ว่าไอซ์เบิร์กบางก้อนนี่ใหญ่กว่าเรือ Ortelius ซะอีก เป็นวันอากาศดีที่ฉันนั่งแช่หิมะอ้อยอิ่ง ผึ่งแดดอยู่บนเนินเขา ดวงตะวันค่อยๆ หย่อนตัวลงแนบผืนน้ำ แล้วก็พบว่าการนั่งดูพระอาทิตย์ตกในแอนตาร์กติกานี่เป็นประสบการณ์แสนวิเศษที่ไม่เคยพร่าเลือนไปจากใจ
ธรรมชาติช่างยิ่งใหญ่ ทรงพลัง และน่าอภิรมย์เหลือเกิน
Photo: กาญจนา หงษ์ทอง