×

Empathy ทักษะทางใจ เมื่อเห็นทุกข์เธอ = ฉัน

โดย THE STANDARD TEAM
06.03.2025
  • LOADING...

ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา คำว่า Empathy ถูกพูดถึงในวงกว้างและมากขึ้นทุกวัน

 

สิ่งนี้ไม่ได้สะท้อนอะไรมากไปกว่าสังคมกำลังขาด ‘หัวใจ’ เพราะความบีบคั้นทางเศรษฐกิจ และสภาพสังคมที่ให้ค่ากับตัวตนและความสำเร็จเชิงมูลค่าที่วัดได้ด้วยวัตถุ เงินทอง หรือแม้แต่ยอดไลก์-ฟอลโลว์

 

ในสังคมเช่นนี้ผู้คนจึงมีแนวโน้มที่จะเห็นแก่ตัวฉันมากกว่าทุกยุคสมัย เพราะคนส่วนใหญ่ล้วนถูกฝึกให้เอาแต่ใจและเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง

 

ไม่แปลกถ้าผู้คนจะเรียกร้องหา Empathy ให้หันมา ‘เอาใจเขามาใส่ใจเรา’ มากขึ้น

 

คำถามคือ โลกในอนาคตที่ #เด็กเจนอัลฟา ต้องอยู่และใช้ชีวิตจะเป็นแบบไหน?

 

ถ้าดูจากสถิติ Google Trends ย้อนหลังเกี่ยวกับคำว่า Empathy ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา (2005 – ปัจจุบัน) จะพบว่ากราฟความสนใจของคนไทยนั้นให้ความสนใจคำนี้เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ — เทรนด์โลกก็เป็นเช่นนั้น

 

โลกจะใจร้ายมากขึ้น นี่คือความน่าจะเป็นและแนวโน้มที่จะเกิดขึ้น

 

คำถามต่อมา เรา, ในฐานะพ่อแม่และผู้ใหญ่ จะสร้างโลกที่ใจดีกว่านี้ได้ไหม และอย่างไร?

 

หากพ่อแม่รู้สึกว่าลูกที่เกิดมาได้สร้างโลกใบใหม่ให้กับเรา ขอให้เชื่อว่าเราในฐานะพ่อแม่ก็สามารถสร้างโลกที่ดีกว่าเดิมให้เขาได้เช่นกัน

 

ส่วนจะทำอย่างไร คำตอบนั้นซ่อนอยู่ในนิยามคำว่า #Empathy* ที่หมายถึง การเอาใจเขามาใส่ใจเรา เพื่อพยายามทำความเข้าใจผู้อื่นจากมุมมองและบริบทที่พวกเขาอยู่ และแสดงออกมาในรูปแบบต่างๆ เช่น ความเมตตา การช่วยเหลือ และการสื่อสารอย่างเข้าอกเข้าใจ ที่มี ‘หัวใจ’ อยู่ในนั้นเสมอ

 

วิธีที่เรียบง่ายและลัดตรงที่สุดในการสร้าง Empathy ที่จะ ‘เอาใจเขามาใส่ใจเรา’ เพื่อให้ลูก ‘เข้าใจผู้อื่นจากมุมมองและบริบทที่พวกเขาอยู่’ อย่างแท้จริง คือการให้ลูกได้รู้จักชีวิตของผู้คนที่แตกต่างหลากหลาย

 

ไม่มีวิธีอื่นใดที่จะช่วยให้ลูกคนรวยเข้าใจ ‘ความยากและลำบาก’ ของคนที่มีน้อยกว่า ถ้าพวกเขาไม่เคยลิ้มรสความยากลำบากนั้น

 

ไม่มีวิธีอื่นใดที่จะช่วยให้ลูกคนมีเงินที่นั่งรถแอร์เย็นฉ่ำเข้าใจลูกชาวบ้านที่ต้องนั่งรถประจำทาง สูดดมควันพิษ และหมดเปลืองพลังชีวิตไปกับการจราจร ถ้าพวกเขาไม่เคยนั่งรถเมล์ในชีวิตประจำวัน

 

และในทางกลับกัน ลูกชาวบ้านก็คงไม่เข้าใจโลกของลูกคนมีเงินหลายๆ คนที่ชีวิตดูเพียบพร้อม แต่ลึกๆ ข้างในกลับขาดพร่อง เพราะชีวิตต้องแบกรับความกดดันและคาดหวังจากครอบครัว ซึ่งสวนทางกับเวลาและความใส่ใจที่พ่อแม่มอบให้

 

เป็นไปได้หรือไม่ที่โลกวันนี้ ‘ใจร้าย’ เพราะลึกๆ ข้างในพวกเราขาดความไว้เนื้อเชื่อใจกันและกัน

 

แม้ว่าพ่อแม่หลายคนจะปฏิเสธความคิดเช่นนั้น แต่ในโลกที่อัลกอริทึมคัดสรรเพียงโลกที่เราอยากเห็น และพ่อแม่หลายคนยินดี ‘ซื้อสังคม’ ให้ลูกผ่านการเลือกโรงเรียนที่ดีที่สุด กำลังหล่อหลอมให้เรายอมรับความเหมือนและห่างเหินความต่างโดยไม่รู้ตัว

 

ใช่หรือไม่ว่า สังคมที่แตกแยก เกลียดชัง แบ่งเขาแบ่งเรา คือผลลัพธ์ของโลกที่ Empathy เหือดหายไปจากใจผู้คน สงครามสีเสื้อ ความไม่ลงรอยระหว่างคนต่างวัย จนถึงช่องว่างของความสัมพันธ์ในครอบครัว ล้วนมาจากการที่ใครคนหนึ่งลืมนึกถึงใจอีกฝ่ายหรืออาจนึกถึงน้อยเกินไป

 

หากคุณเป็นพ่อแม่ที่รู้สึกว่าโลกนี้ใจร้าย ขอให้รู้ว่าโลกใจดีกว่านี้ได้ แค่กลับมาดูใจตัวเอง

 

เรามี Empathy มากแค่ไหน?

เรากำลังแบ่งแยกผู้คนโดยไม่รู้ตัวอยู่หรือเปล่า?

เราได้พาลูกไปรู้จักและเห็นชีวิตผู้คนที่แตกต่างจากเราหรือไม่?

เราเคยบอกและสอนลูก เพื่อจะทำให้เขามองคนอื่นที่ดีและด้อยกว่าในเชิงลบหรือเปล่า?

 

แน่นอนว่าโลกไม่ได้ใจดีเหมือนนิทานหลอกเด็ก แต่ใจที่ดีและมี Empathy สร้างโลกนี้ให้ดีขึ้นได้

 

เหมือนหัวหน้าที่ดี ต้องเคยผ่านการเป็นลูกน้องและเข้าใจความลำบากของคนทำงานตัวเล็กๆ มาก่อน

 

เหมือนครูที่ดี ย่อมเข้าใจว่าเด็กเรียนไม่เก่งและไม่ชอบเรียนหนังสือเพราะอะไร และควรทำอย่างไรเพื่อให้พวกเขารักการเรียน

 

เหมือนพ่อแม่ที่ดี ที่เรียนรู้ว่าความทุกข์ของลูกคืออะไร และไม่ลืมความเป็นเด็กที่อยู่ในตัวลูกและตัวเรา เพื่อส่งเสริมพวกเขาให้เติบโตอย่างมีความสุขตามสิ่งที่พวกเขาเป็น มากกว่าสิ่งที่เราอยากจะเห็น

 

ทุกอย่างเริ่มต้นที่การ ‘เอาใจเขามาใส่ใจเรา’ เพียงแค่พ่อแม่สอนลูกไม่ให้ดูดายกับความทุกข์ของผู้อื่น

 

แล้ว Empathy จะเกิดขึ้นที่ตรงนั้น

 

*อ้างอิง: ครูจุ๊ย-กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ, Empathy-Compassion เอาใจเขามาใส่ใจเราและเอาใจเรามาทำความเข้าใจหัวใจของเรา, กสศ.

 


 

📌 ครบทุกความรู้และแรงบันดาลใจ เพื่ออนาคตลูกในงานเดียว! Alpha Skills Summit 2025 ดูรายละเอียดได้ที่ https://bit.ly/alphass2025cpe

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising