ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา คำว่า Empathy ถูกพูดถึงในวงกว้างและมากขึ้นทุกวัน
สิ่งนี้ไม่ได้สะท้อนอะไรมากไปกว่าสังคมกำลังขาด ‘หัวใจ’ เพราะความบีบคั้นทางเศรษฐกิจ และสภาพสังคมที่ให้ค่ากับตัวตนและความสำเร็จเชิงมูลค่าที่วัดได้ด้วยวัตถุ เงินทอง หรือแม้แต่ยอดไลก์-ฟอลโลว์
ในสังคมเช่นนี้ผู้คนจึงมีแนวโน้มที่จะเห็นแก่ตัวฉันมากกว่าทุกยุคสมัย เพราะคนส่วนใหญ่ล้วนถูกฝึกให้เอาแต่ใจและเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง
ไม่แปลกถ้าผู้คนจะเรียกร้องหา Empathy ให้หันมา ‘เอาใจเขามาใส่ใจเรา’ มากขึ้น
คำถามคือ โลกในอนาคตที่ #เด็กเจนอัลฟา ต้องอยู่และใช้ชีวิตจะเป็นแบบไหน?
ถ้าดูจากสถิติ Google Trends ย้อนหลังเกี่ยวกับคำว่า Empathy ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา (2005 – ปัจจุบัน) จะพบว่ากราฟความสนใจของคนไทยนั้นให้ความสนใจคำนี้เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ — เทรนด์โลกก็เป็นเช่นนั้น
โลกจะใจร้ายมากขึ้น นี่คือความน่าจะเป็นและแนวโน้มที่จะเกิดขึ้น
คำถามต่อมา เรา, ในฐานะพ่อแม่และผู้ใหญ่ จะสร้างโลกที่ใจดีกว่านี้ได้ไหม และอย่างไร?
หากพ่อแม่รู้สึกว่าลูกที่เกิดมาได้สร้างโลกใบใหม่ให้กับเรา ขอให้เชื่อว่าเราในฐานะพ่อแม่ก็สามารถสร้างโลกที่ดีกว่าเดิมให้เขาได้เช่นกัน
ส่วนจะทำอย่างไร คำตอบนั้นซ่อนอยู่ในนิยามคำว่า #Empathy* ที่หมายถึง การเอาใจเขามาใส่ใจเรา เพื่อพยายามทำความเข้าใจผู้อื่นจากมุมมองและบริบทที่พวกเขาอยู่ และแสดงออกมาในรูปแบบต่างๆ เช่น ความเมตตา การช่วยเหลือ และการสื่อสารอย่างเข้าอกเข้าใจ ที่มี ‘หัวใจ’ อยู่ในนั้นเสมอ
วิธีที่เรียบง่ายและลัดตรงที่สุดในการสร้าง Empathy ที่จะ ‘เอาใจเขามาใส่ใจเรา’ เพื่อให้ลูก ‘เข้าใจผู้อื่นจากมุมมองและบริบทที่พวกเขาอยู่’ อย่างแท้จริง คือการให้ลูกได้รู้จักชีวิตของผู้คนที่แตกต่างหลากหลาย
ไม่มีวิธีอื่นใดที่จะช่วยให้ลูกคนรวยเข้าใจ ‘ความยากและลำบาก’ ของคนที่มีน้อยกว่า ถ้าพวกเขาไม่เคยลิ้มรสความยากลำบากนั้น
ไม่มีวิธีอื่นใดที่จะช่วยให้ลูกคนมีเงินที่นั่งรถแอร์เย็นฉ่ำเข้าใจลูกชาวบ้านที่ต้องนั่งรถประจำทาง สูดดมควันพิษ และหมดเปลืองพลังชีวิตไปกับการจราจร ถ้าพวกเขาไม่เคยนั่งรถเมล์ในชีวิตประจำวัน
และในทางกลับกัน ลูกชาวบ้านก็คงไม่เข้าใจโลกของลูกคนมีเงินหลายๆ คนที่ชีวิตดูเพียบพร้อม แต่ลึกๆ ข้างในกลับขาดพร่อง เพราะชีวิตต้องแบกรับความกดดันและคาดหวังจากครอบครัว ซึ่งสวนทางกับเวลาและความใส่ใจที่พ่อแม่มอบให้
เป็นไปได้หรือไม่ที่โลกวันนี้ ‘ใจร้าย’ เพราะลึกๆ ข้างในพวกเราขาดความไว้เนื้อเชื่อใจกันและกัน
แม้ว่าพ่อแม่หลายคนจะปฏิเสธความคิดเช่นนั้น แต่ในโลกที่อัลกอริทึมคัดสรรเพียงโลกที่เราอยากเห็น และพ่อแม่หลายคนยินดี ‘ซื้อสังคม’ ให้ลูกผ่านการเลือกโรงเรียนที่ดีที่สุด กำลังหล่อหลอมให้เรายอมรับความเหมือนและห่างเหินความต่างโดยไม่รู้ตัว
ใช่หรือไม่ว่า สังคมที่แตกแยก เกลียดชัง แบ่งเขาแบ่งเรา คือผลลัพธ์ของโลกที่ Empathy เหือดหายไปจากใจผู้คน สงครามสีเสื้อ ความไม่ลงรอยระหว่างคนต่างวัย จนถึงช่องว่างของความสัมพันธ์ในครอบครัว ล้วนมาจากการที่ใครคนหนึ่งลืมนึกถึงใจอีกฝ่ายหรืออาจนึกถึงน้อยเกินไป
หากคุณเป็นพ่อแม่ที่รู้สึกว่าโลกนี้ใจร้าย ขอให้รู้ว่าโลกใจดีกว่านี้ได้ แค่กลับมาดูใจตัวเอง
เรามี Empathy มากแค่ไหน?
เรากำลังแบ่งแยกผู้คนโดยไม่รู้ตัวอยู่หรือเปล่า?
เราได้พาลูกไปรู้จักและเห็นชีวิตผู้คนที่แตกต่างจากเราหรือไม่?
เราเคยบอกและสอนลูก เพื่อจะทำให้เขามองคนอื่นที่ดีและด้อยกว่าในเชิงลบหรือเปล่า?
แน่นอนว่าโลกไม่ได้ใจดีเหมือนนิทานหลอกเด็ก แต่ใจที่ดีและมี Empathy สร้างโลกนี้ให้ดีขึ้นได้
เหมือนหัวหน้าที่ดี ต้องเคยผ่านการเป็นลูกน้องและเข้าใจความลำบากของคนทำงานตัวเล็กๆ มาก่อน
เหมือนครูที่ดี ย่อมเข้าใจว่าเด็กเรียนไม่เก่งและไม่ชอบเรียนหนังสือเพราะอะไร และควรทำอย่างไรเพื่อให้พวกเขารักการเรียน
เหมือนพ่อแม่ที่ดี ที่เรียนรู้ว่าความทุกข์ของลูกคืออะไร และไม่ลืมความเป็นเด็กที่อยู่ในตัวลูกและตัวเรา เพื่อส่งเสริมพวกเขาให้เติบโตอย่างมีความสุขตามสิ่งที่พวกเขาเป็น มากกว่าสิ่งที่เราอยากจะเห็น
ทุกอย่างเริ่มต้นที่การ ‘เอาใจเขามาใส่ใจเรา’ เพียงแค่พ่อแม่สอนลูกไม่ให้ดูดายกับความทุกข์ของผู้อื่น
แล้ว Empathy จะเกิดขึ้นที่ตรงนั้น
*อ้างอิง: ครูจุ๊ย-กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ, Empathy-Compassion เอาใจเขามาใส่ใจเราและเอาใจเรามาทำความเข้าใจหัวใจของเรา, กสศ.
📌 ครบทุกความรู้และแรงบันดาลใจ เพื่ออนาคตลูกในงานเดียว! Alpha Skills Summit 2025 ดูรายละเอียดได้ที่ https://bit.ly/alphass2025cpe