‘เลือกบ้านผิดคิดจนตัวตาย’ ผมเชื่อว่าหลายคนคงคุ้นชินกับคำๆ นี้ แต่เชื่อเลยว่าน้อยคนนักที่จะเข้าใจหากไม่เจอเรื่องนี้กับตัวเอง ทำไมการเลือกบ้านผิดถึงเปรียบได้กับการฆ่าตัวตายทางอ้อม วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องนี้กันนะครับ
ผมเชื่อว่าหลายคนคงพอทราบว่าผมเรียนจบสถาปัตย์ฯ แต่มาทำงานในวงการบันเทิง ก็ลองคิดดูเล่นๆ นะครับว่า เรียน 5 ปี จบเกียรตินิยม เงินเดือนเริ่มต้นหมื่นถึงหมื่นสอง ลองมาเล่นละครหรือทำพิธีกรคงได้มากกว่า (สมัยนั้นนะครับ) ถ้าให้ย้อนกลับไปได้ ผมก็คง…เลือกเป็นแบบนี้แหละครับ สนุกดี (ก็มันย้อนกลับไปไม่ได้จริงๆ นี่นา)
เข้าเรื่องกันสักนิดนะครับ ที่เกริ่นกันมาตั้งสี่ห้าบรรทัด ก็เพราะว่าอยู่ในวงการบันเทิงนี่ละครับเลยมีคนมากมายที่เมื่อรู้จักภูมิหลังกันสักนิด ก็จะเริ่มมีคำถามมาให้ผมตอบ เช่น ซื้อบ้านดีไหม ซื้อตรงไหนดี ซื้อเลยทันทีหรือว่าควรรอ ซื้อใหญ่ขึ้นหน่อยดีไหม ซื้อคอนโดฯ ก็น่าสนใจนะ ถ้าไม่ซื้อ…ซ่อมบ้านเก่าดีไหม ซ่อมมากน้อยแค่ไหนดีกว่ากัน ไม่เอาละ ไม่ซ่อม ซื้อใหม่ดีกว่า เป็นต้น สังเกตไหมครับว่า บางคำถามเหมือนคนถามยังตอบตัวเองไม่ได้เลยว่าตัวเองอยากได้อะไร ลังเลสงสัย ถ้าผมตอบตรงๆ ได้ก็คงตอบแบบเดียวกับที่ทุกคนคิดในใจกันอยู่ตอนนี้ แต่ก็อย่างที่ว่าแหละครับ เรื่องบ้านคือปัญหาโลกแตก บางทีก็ไม่ต่างจากคำถามที่ว่า ไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน ไม่เชื่อเหรอครับ ลองอ่านบทสนทนาด้านล่างดูนะครับ
เพื่อน: ซื้อบ้านดีไหม
สถาปนิก: ทำไมล่ะ
เพื่อน: อยากได้บ้านใหม่ สองห้องนอน มีสวนสวยๆ หน่อย ในเมืองมันอึดอัด เผื่อว่าจะย้ายไปอยู่เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการกลับบ้าน
สถาปนิก: แล้วบ้านเก่าล่ะ ขายเหรอ
เพื่อน: ก็ไม่ขายหรอก เก็บไว้อยู่เหมือนกัน แต่ว่าจะต่อเติมสักหน่อย
สถาปนิก: ต่อเติมตรงไหนล่ะ
เพื่อน: ขยายตรงห้องครัว เพราะแฟนชอบทำครัว แล้วก็อยากขยายห้องนั่งเล่นข้างล่างออกมานิดนึง นิดเดียวๆ ไม่เยอะๆ แบบโครงสร้างเหล็ก หลังคาแบบลอฟต์ก็ได้ ที่จอดรถด้วย แต่ถ้าเป็นไปได้ก็ต่อห้องนอนออกมาด้วยเลยบนหลังคาที่จอดรถ ห้องน้ำก็ขยายหน่อย ต่อออกไปข้างหลังทำได้หรือเปล่า แต่น่าจะได้นะ เพราะข้างบ้านกูยังทำแบบชนรั้วไปเลยอะมึง
สถาปนิก: …ตกลง (กดปุ่มหยุดอารมณ์ไว้สักนิด ก่อนจะถามว่า) มึงจะซื้อบ้านใหม่หรือซ่อมบ้านเก่าวะ
เพื่อน: นั่นสิ ยังไงดีวะ มึงเป็นสถาปนิกแนะนำหน่อย
สถาปนิก: …
นั่นคือคำถามที่ผมโดนบ่อยๆ ทั้งจากคนในวงการ พี่น้อง ญาติ และอื่นๆ อีกมากมาย สิ่งหนึ่งที่ผมอยากให้คุณผู้อ่านทุกท่านทำก่อนลงมือทำอะไรก็คือ นั่งสักพักไหมครับ นั่งลงในที่เงียบๆ แล้วหลับตา ก่อนถามตัวเองว่า เราต้องการอะไรกันแน่ บางเรื่องมีปัจจัยที่ทำให้เราวางไม่ได้ เช่น อยู่บ้านเก่าเพราะมันใกล้ที่ทำงาน ไม่ต้องเจอรถติด ก็อยู่บ้านเก่า แต่จะปรับปรุงอย่างไรดีก็ค่อยว่ากัน ถ้าหากว่าอยากได้บ้านใหม่ เพราะคิดว่าบ้านเก่าตอบสนองความต้องการได้ไม่เต็มที่ เงินพร้อม รถพร้อม โอกาสมา จะรออะไรครับ งั้นก็มาต่อกันเลย
Photo: IKEA
ในกรณีที่จะซื้อบ้านใหม่ ย้ำนะครับ ถ้าเงินพร้อม ขับรถไหว เพราะบ้านใหม่ๆ มักจะไกลออกไปเรื่อยๆ หรือคิดที่จะซื้อคอนโดฯ ใหม่ใจกลางเมืองอันนี้ก็ไม่ว่ากัน วันหลังจะมาแนะวิธีการเลือกคอนโดฯ และเลือกทำเลแบบสถาปนิกสายบันเทิงดูนะครับ แต่ถ้าให้กลับมาเรื่องการเลือกบ้านใหม่ ผมมีเรื่องให้ทุกคนไปลองทำการบ้านกันดังนี้ครับ (แต่ละข้อผมให้ 10 คะแนน)
1. ทำเล
เชื่อว่าหลายคนเลือกบ้านจากทำเล บางคนยอมเปลี่ยนจากบ้านเดี่ยวเป็นทาวน์เฮาส์เพราะทำเลที่ดีกว่า ซึ่งก็ไม่แปลกครับ แต่ผมว่าการจะเลือกทำเลนั้น อย่าเอาที่เขาโฆษณาว่าใกล้เพียง 5 นาทีถึง เพราะบางทีเขาขับรถจากโครงการถึงจุดอ้างอิงตอนตี 3 ไม่ใช่ตอน 6-7 โมงเช้า) ทำเลที่ดีจะต้องใกล้กับจุดที่เราต้องเดินทางไปทุกวัน หรือมีช่องทางให้เราเดินทางไปด้วยความสะดวก เช่น ใกล้ทางขึ้นทางด่วน ใกล้สถานีรถไฟฟ้า แต่ไม่จำเป็นต้องห่างเพียงหนึ่งก้าวนะครับ เข้าซอยไปนิดหน่อยก็ได้ไม่ว่ากัน
2. ราคาและแบบบ้าน (ข้อละ 5 คะแนน)
2.1 ในเรื่องของราคาบ้านเมื่อเทียบกับเงินเดือน สาวๆ จะเลือกบ้านจากขนาดห้องแต่งตัว แต่หนุ่มๆ มักเลือกราคาที่สามารถผ่อนได้ แต่ถ้าเป็นผม ในกรณีที่ไม่มีเงินต้นสักครึ่งหนึ่ง ผมว่าน่าเป็นห่วงครับ เพราะถ้าเราซื้อบ้านราคา 5 ล้านบาท ผ่อน 30 ปี เคยลองคำนวณเล่นๆ เมื่อผ่อนเสร็จราคาบ้านคือ 10-11 ล้านนะครับ ดังนั้นแนะนำว่า เลือกบ้านอย่าให้เกินตัวครับ และในความเป็นจริงของคนยุคนี้ เราไม่ได้จะมีบ้านหลังเดียวครับ (อย่าไปคิดว่าผมเชียร์ให้มีบ้านเล็กบ้านน้อยนะครับ) คือคนยุคนี้ถ้าเจอที่ใช่กว่าก็พร้อมที่จะขายบ้านเก่าทันที ดังนั้นบางทีก็ต้องเอาข้อนี้ไปเลือกทำเลข้อ 1 แบบดีๆ ไว้ด้วยเหมือนกัน
2.2 ในส่วนของแบบบ้าน ถ้าจะซื้อบ้านสักหลังผมแนะนำว่า บ้านแต่ละหลังควรมีห้องเหลือเผื่อไว้สักหนึ่งห้อง เช่น อยู่ด้วยกันสองผัวเมีย ถ้ามีลูก 1 คน ควรจะเลือกบ้าน 3 ห้องนอน เผื่อห้องนอนอีกห้องไว้เป็นห้องนอนของแขก อย่าไปคิดว่าเวลาพ่อแม่มาอยู่ด้วยแล้วจะนอนรวมกันหรือว่านอนที่ห้องรับแขก ไม่ดีหรอกครับ งานนี้ความซวยจะตามมาพร้อมความอึดอัดอย่างไม่รู้ตัว และบ้านที่ดีควรมีอีกห้องเล็กๆ เพื่อใช้ในการเก็บของที่ไม่ใช้ ไม่อย่างนั้นอย่าคิดว่าคุณจะได้บ้านแบบในแมกกาซีนเลยครับ
3. ก่อนซื้อบ้านต้องดูทั้งตอนกลางวันและกลางคืน
ไม่ใช่ว่าให้ไปแอบดูใครนะครับ แต่หมายความว่าให้เวลากับอนาคตบ้านของเราสักนิด กลางวันกับกลางคืนไม่เหมือนกัน อย่างน้อยคุณจะเห็นความจริง ไม่ใช่ภาพที่บริษัทขายบ้านสร้างไว้ให้คุณเห็น และมารู้เมื่อตอนนิติบุคคลย้ายออกไป และหากไปทดลองขับรถดูแล้ว ก็ควรลองขับหลงไปหมู่บ้านข้างๆ ลองจอดรถแล้วลงไปเดินเล่นสักชั่วโมง ลองแวะตลาดข้างหลังหมู่บ้านบ้างเพื่อประกอบการตัดสินใจ เพราะชีวิตจริงคุณคงไม่ได้แวะซูเปอร์มาร์เก็ตทุกครั้งที่ทำอาหารหรอกครับ (ร้านก๋วยเตี๋ยวหรือร้านส้มตำอร่อยๆ แถวบ้านต่างหากที่จะทำให้เราไม่อดตาย)
4. น้ำขังไหม
ก็ประมาณว่าเวลาฝนตกน้ำท่วมหรือไม่ (ถ้าน้ำไม่ท่วมในช่วงปี พ.ศ. 2554 และช่วงกลางปี พ.ศ. 2560 ก็ให้คะแนนไว้ 9-10 คะแนนได้เลยครับ)
5. ดูว่าบริษัทที่ลงทุนเชื่อถือได้หรือไม่ ยุคนี้การถามลุงกู๋ (Google) ง่ายนิดเดียวครับ (10 คะแนน คิดจากความน่าเชื่อถือ)
เมื่อตอบคำถามทั้ง 5 ข้อหลักๆ ได้แล้ว (หากได้คะแนนเกิน 35 คะแนน จาก 50 คะแนน ก็ค่อยมาว่ากันต่อ) มานั่งทบทวนสักนิดว่าพร้อมที่จะเป็นหนี้ก้อนใหญ่แล้วหรือยัง บางคนมองบ้านเป็นการลงทุน แต่มันก็เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงหลายอย่างนะครับ นี่ยังไม่รวมการตรวจรับบ้านที่อาจทำให้หลายคนแทบเป็นบ้า เมื่อต้องต่อสู้กับเซลล์ชนิดที่สงสัยว่าเป็นคนเดียวกับที่เสนอขายเราจริงหรือ ทำไมพูดจากลับไปกลับมา อย่างที่เขาบอกกันว่า ‘เลือกบ้านผิดคิดจนตัวตาย’ เพราะเราไม่ได้จะอยู่แค่อาทิตย์ละวัน แต่เราต้องอยู่ไปตลอด
ถ้าหากว่าเราได้ลองพิจารณาและเลือกแล้ว ยังรู้สึกติดใจ ยังคิดถึง และหากไม่ได้ซื้อคงเสียดายมากๆ ก็ซื้อเถอะครับ แต่ถ้าอยากได้ แต่ยังไม่รู้ว่าจะเลือกบ้านแบบใด ทิศไหนดี เอาเป็นว่าส่งแบบมาให้ผมช่วยดูไหมครับ ผมไม่คิดค่าดู แต่ขอเป็นสิบคนแรกก็แล้วกันครับ แนบแบบบ้านมาพร้อมกับทิศ และเขียนบรรยายชีวิตของคนในบ้านมาให้ผมฟังสักหน่อย ประกอบกับผังหมู่บ้านด้วยก็จะดี แล้วผมจะรีบตอบนะครับ ส่งมาที่ facebook.com/byarmpipat ก่อนที่คราวหน้าเราจะมาคุยกันเรื่อง Techno or Slow Life ล้ำสมัยหรือร่วมสมัย แล้วพบกันครับ
Cover Photo: Andy Dean Photography