×

เปิดด่าน vs. ปิดด่าน: เศรษฐศาสตร์การเมืองเรื่อง ‘ชายแดน’

27.06.2025
  • LOADING...

การสร้างรัฐและความรู้สึกในเรื่องของอาณาเขตเป็นสิ่งที่เกิดควบคู่กัน แม้ว่าอัตลักษณ์ทางการเมือง [ของรัฐ] จะไม่ได้เกิดในเวลาเดียวกันกับเส้นพรมแดนของรัฐอธิปไตยสมัยใหม่ก็ตาม

Malcolm Anderson

Frontier (1996)

 

สถาปนิกของเส้นเขตแดนและกำแพงที่สร้างขึ้นทั้งหมดล้วนต้องเผชิญกับความจริงที่ว่า มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะปิด [ชายแดนของ] ชุมชนหรือดินแดนหนึ่ง [ที่เชื่อมต่อกับ] อีกชุมชนหรือดินแดนหนึ่ง [ที่อยู่ติดกัน] ให้ได้อย่างสมบูรณ์

Paul Richardson

Myths of Geography (2024)

 


 

เปิดประเด็น

 

บทความนี้อยากทดลองนำเสนอมุมมองการปิด-เปิดด่านด้านบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ในมิติทาง ‘เศรษฐศาสตร์การเมืองของชายแดน’ (The Political Economy of Border) เพราะความเป็นชายแดนนั้น ทำให้พื้นที่ในส่วนนี้น่าสนใจ ที่จะต้องพิจารณาด้วยมุมมองทางเศรษฐศาสตร์การเมือง เพื่อที่จะช่วยให้เราทำความเข้าใจกับปัญหาที่เกิดได้กระจ่างขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม บทความนี้จะไม่เน้นในมุมมองด้านความมั่นคง เพราะปกติแล้ว เมื่อพิจารณาถึงปัญหาที่เกิดจากการกระทบกระทั่งในบริเวณพื้นที่ชายแดนนั้น เรามักจะเริ่มด้วยมิติด้านความมั่นคงเสมอ แต่บทความนี้ จะลองปรับมุมมองที่มุ่งเน้นไปที่ประเด็นด้านเศรษฐศาสตร์การเมือง โดยจะไม่เน้นในมุมมองที่สมาทานไปกับกระแสของ ‘ลัทธิชาตินิยมสุดโต่ง’ ที่เชื่อว่า ข้อพิพาทระหว่างไทยกับรัฐเพื่อนบ้านนั้น จะต้องจบลงในสนามรบ เพราะแนวคิดเช่นนั้น อาจจะทำให้ข้อพิพาทดังกล่าวไปจบลงที่ศาลอย่างที่เราคาดไม่ถึง เช่นที่ไทยเคยมีประสบการณ์ล่าสุดมาแล้วในปี 2011 (พ.ศ. 2554) กับกรณีปราสาทพระวิหาร

 

กล่าวนำ

 

วันนี้รัฐบาลไทยภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร กำลังเผชิญกับปัญหารุมเร้าแบบรอบด้านอย่างคาดไม่ถึง และหนึ่งในความคาดไม่ถึงคือ ปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา…ใครเลยจะคาดคิดว่า ปัญหานี้จะขยายตัวเป็นหนึ่งใน ‘ประเด็นความมั่นคงแห่งชาติ’ ที่สำคัญ ทั้งยังเป็นปัญหาส่งผลต่อภาพลักษณ์และเสถียรภาพของรัฐบาลอย่างมากด้วย

 

ในสถานการณ์ความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาที่เกิดขึ้น โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากปัญหากรณีช่องบก ที่เริ่มส่งสัญญาณถึงการเผชิญหน้าทางทหารระหว่างประเทศคู่พิพาท แล้วตามมาด้วยกรณีการปล่อยคลิปเสียงการสนทนาระหว่างผู้นำของประเทศทั้งสอง และคู่ขนานต่อมาด้วยการก่อตัวของกระแสชาตินิยมในทั้ง 2 ประเทศ จนทำให้หลายฝ่ายเกิดความกังวลอย่างมากว่า ความตึงเครียดที่เกิดและผสมผสานด้วยการขับเคลื่อนของกระแสชาตินิยมนั้น จะนำพาประเทศทั้ง 2 ไปพบกันที่สนามรบหรือไม่…หรือเพื่อนบ้านทั้ง 2 ประเทศจะแสวงหาทางออกร่วมกัน โดยไม่จำเป็นต้องใช้สงครามเป็นเครื่องมือ ได้หรือไม่ ?

 

วิกฤตการเมืองเรื่องชายแดน

 

อย่างไรก็ตาม การผสมผสานของปัจจัยต่างๆ ดังเช่นที่กล่าวแล้ว ส่งผลให้ความตึงเครียดที่เกิดตามแนวชายแดนของทั้ง 2 ประเทศ มีแนวโน้มที่จะขยายตัวได้มากขึ้น และทั้งจะเห็นได้ว่า ผลกระทบของปัญหานี้ขยายตัวไปอย่างรวดเร็ว จนสามารถ ‘เขย่ารัฐบาลไทย’ ได้อย่างไม่น่าเชื่อ จนต้องยอมรับว่า รัฐบาลแพทองธารกำลังเผชิญกับ ‘วิกฤตการเมือง’ ที่สำคัญ ทั้งยังท้าทายอย่างมากถึงความอยู่รอดของรัฐบาลในอนาคตอีกด้วย

 

วันนี้ เราคงต้องยอมรับความจริงในทางการเมืองว่า ปัญหากัมพูชาได้กลายเป็น ‘วิกฤตการเมืองภายใน’ ของไทยอย่างชัดเจนแล้ว โดยเฉพาะปัญหานี้เป็นชนวนที่ก่อความรู้สึกไม่พอใจกับท่าทีและการแสดงออกของรัฐบาลอย่างมาก ยิ่งเมื่อผนวกเข้ากับปัญหาคลิปเสียงการสนทนาของผู้นำ 2 ฝ่ายแล้ว ก็ยิ่งให้เกิดกระแสต่อต้านรัฐบาลมากยิ่งขึ้น

 

ในสภาวะที่เกิดปัญหาตามแนวชายแดนเช่นนี้ มักจะมีข้อเสนอที่เกิดขึ้นเป็นประจำในสังคมคือ การเรียกร้องให้มีการ ‘ปิดด่าน’ ที่เป็นจุดผ่านแดนของประเทศ โดยหวังว่า การปิดด่านของไทยจะทำให้เกิดแรงกดดันทางเศรษฐกิจต่อกัมพูชา และในที่สุดแล้วผลจากการปิดด่าน จะทำให้กัมพูชาจะต้องยอมเรา ด้วยการหันกลับมาเจรจาแบบทวิภาคีกับไทย เพราะกัมพูชาจะไม่สามารถทานแรงกดดันจากการปิดด่านได้ กล่าวคือ เราเชื่อว่า เรามี ‘แต้มต่อ’ ในทางเศรษฐกิจเหนือกว่ากัมพูชาอย่างมาก

 

ดูเหมือนว่า ฝ่ายไทยจะยึดเอาความเชื่อเช่นนี้ เป็นสมมติฐานในการมีทัศนคติต่อการแก้ปัญหาข้อพิพาทกับกัมพูชามาอย่างยาวนาน และทั้งความคาดหวังแบบชาตินิยมที่เชื่อว่า ‘ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไทยจะต้องเป็นฝ่ายชนะกัมพูชาเสมอ’

 

นอกจากนี้ ข้อเสนอในการปิดด่านดูจะสอดรับกับกระแสชาตินิยมได้เป็นอย่างดี ที่ต้องการใช้การปิดด่านเป็นเสมือน ‘การลงโทษ’ ฝ่ายกัมพูชา เพราะเชื่อแบบง่ายๆ ว่า ฝ่ายไทยมีความเหนือกว่ากัมพูชาในทุกด้าน อันจะเป็นปัจจัยพื้นฐานที่จะเอื้อให้เราจะเป็นฝ่ายชนะในท้ายที่สุด…เสมือนจินตนาการในแบบภาพยนตร์ไทยสมัยก่อน ที่พระเอกต้องชนะในตอนสุดท้ายเสมอ

 

ปิดด่านในมุมมองทางทฤษฎี

 

หากพิจารณาในมุมมองทางทฤษฎีรัฐศาสตร์ เราอาจกล่าวได้ว่า การปิดด่านคือ การใช้ ‘มาตรการทางเศรษฐกิจ’ ในนโยบายต่างประเทศ และเมื่อใช้แล้วก็หวังว่า รัฐเป้าหมายที่ถูกกระทำ จะยอมทำตามสิ่งที่ฝ่ายเราต้องการ

 

ความหวังเช่นนี้จึงเป็นทฤษฎีที่นักเรียนในวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศถูกสอนเสมอว่า เมื่อรัฐใช้มาตรการทางเศรษฐกิจกดดันรัฐเป้าหมาย และการกดดันนี้จะได้ผลจริง ก็ต่อเมื่อรัฐเป้าหมายไม่สามารถหาสิ่งของทดแทนที่เกิดจากความขาดแคลนดังกล่าวนั้นได้

 

ดังนั้น จึงอาจกล่าวเป็นข้อสรุปทางทฤษฎีได้ว่า จุดชี้ขาดที่เป็นปัจจัยของความสำเร็จในการใช้มาตรการทางเศรษฐกิจคือ ‘ความขาดแคลนที่ทดแทนไม่ได้’ แต่ในโลกสมัยใหม่ สภาวะที่จะเกิดความขาดแคลนที่ไม่สามารถทดแทนได้นั้น อาจจะเป็นไปได้ยาก เพราะการติดต่อสื่อสารระหว่างประเทศที่มีมากขึ้น ทำให้การขนส่งสินค้า บริการ และสิ่งของต่างๆ เป็นไปได้อย่างกว้างขวาง ขณะเดียวกัน รัฐสมัยใหม่เองก็ไม่ได้อยู่ด้วยความขาดแคลนเช่นในยุคเก่า

 

สภาวะเช่นนี้จึงทำให้ทฤษฎีการกดดันด้วยมาตรการทางเศรษฐกิจระหว่างรัฐเพื่อนบ้าน ‘อาจจะไม่ได้ผลจริงตามที่คาดหวัง’ เพราะโลกทางเศรษฐกิจของยุคศตวรรษที่ 21 นั้น การกดดันทางเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดความขาดแคลนภายในของรัฐเป้าหมายนั้น ไม่ใช่สิ่งที่จะต้องเป็นจริงเสมอไป เพราะโลกในทางเศรษฐศาสตร์ของระบบทุนนิยมระหว่างประเทศนั้น ไม่ใช่โลกของความขาดแคลนด้านสินค้า บริการ และสิ่งของต่างๆ ในทางตรงข้าม สิ่งเหล่านี้ล้วนมีตัวแสดงที่พร้อมจะเข้ามาเป็น ‘รัฐผู้ขาย’ ในฐานะของการแสวงหาตลาดอยู่เสมอ

 

ข้อโต้แย้งในทางปฏิบัติ

 

บางที อาจจะต้องกล่าวเป็นข้อพิจารณา สำหรับความเชื่อที่ว่า การปิดด่านเพื่อหวังให้เกิดความขาดแคลนภายในของรัฐเป้าหมายในสถานการณ์ที่เกิดข้อพิพาทนั้น อาจจะนำมาเป็นประเด็นทบทวนทั้งในทางยุทธศาสตร์ และยุทธวิธี

 

ตัวอย่างที่ชัดเจนในสถานการณ์ปัจจุบัน อาจจะไม่ใช่เรื่องการปิดด่านโดยตรง คือ มาตรการ ‘แซงก์ชัน’ (Sanction) ทางเศรษฐกิจต่อรัสเซีย อันเป็นผลจากสงครามยูเครนในต้นปี 2022 นั้น ต้องยอมรับว่าการแซงก์ชันนั้น ไม่ได้ส่งผลในการกดดันรัสเซียให้ต้องยุติสงครามได้จริง แม้การออกมาตรการดังกล่าว จะสร้างความเสียหายกับเศรษฐกิจรัสเซียอย่างมากก็ตาม แต่ก็ไม่ได้มากจนนำไปสู่ความล้มละลายทางเศรษฐกิจของประเทศ จนรัสเซียต้องยอมถอนกำลังรบออกจากยูเครน

 

วันนี้ ตอบได้ชัดเจนในทางเศรษฐศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศว่า การแซงก์ชันในความหมายของการปิดล้อมทางเศรษฐกิจต่อรัสเซียนั้น ไม่ได้ประสบผลมากในระดับทางยุทธศาสตร์ ที่ทำให้รัสเซียเป็นฝ่ายที่ต้องยอมแพ้ในสงครามยูเครนแต่อย่างใด

 

สงครามยูเครนยังดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน และดำเนินต่อเนื่องมาจนเข้าสู่ปีที่ 4 แล้ว อันส่งผลให้กลุ่ม NATO ในปัจจุบันต้องประเมินใหม่ว่า รัสเซียโดยสถานะทางเศรษฐกิจของตัวเองดังเช่นในปัจจุบันนั้น ยังสามารถทำการรบต่อไปได้อีกราว 2 ปี ซึ่งมีนัยทั้งทางทฤษฎีและปฏิบัติว่า การปิดล้อมทางเศรษฐกิจของฝ่ายตะวันตกนั้น ไม่สร้างผลกระทบในทางยุทธศาสตร์ ที่ทำให้รัสเซียยอมถอนตัวออกจากสนามรบในยูเครนแต่อย่างใด…ตรงกันข้าม สงครามยูเครนในปัจจุบัน ยังทวีความรุนแรงจากการโจมตีของกองทัพรัสเซียอย่างต่อเนื่อง

 

กรณีอีกตัวอย่างหนึ่งที่อาจจะใกล้ตัวพวกเรามากขึ้นคือ ประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับ สปป.ลาว ในยุคสงครามเย็น ในสมัยของรัฐบาลจอมพลสฤษฏ์ ธนะรัชต์ในช่วงวิกฤตการณ์ใน สปป.ลาว จอมพลสฤษฏ์มักจะใช้การปิดด่านของไทยเป็นแรงกดดันที่สำคัญ เพราะเนื่องจาก สปป.ลาว เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกทะเล และต้องขนส่งสินค้าผ่านแดนไทย

 

รัฐบาลไทยในขณะนั้น เชื่ออย่างมากว่า การกดดันด้วยมาตรการปิดด่าน จะทำให้สปป.ลาวต้องหันกลับมาประนีประนอมกับไทย เพราะการไม่มีทางออกทะเล แต่ฝ่ายไทยดูจะลืมเงื่อนไขการเชื่อมต่อทางภูมิศาสตร์ที่สำคัญคือ แม้ สปป.ลาว ไม่สามารถออกทะเลได้จริง แต่ สปป.ลาว สามารถขนส่งสินค้านำเข้า ได้ทั้งจากไทยและเวียดนาม ดังนั้น เมื่อไทยออกแรงกดดันมาก สปป.ลาว จึงหันไปพึ่งการขนส่งสินค้าผ่านท่าเรือไฮฟองของเวียดนาม แทนการพึ่งอยู่กับการใช้ท่าเรือคลองเตยของไทยแต่เพียงอย่างเดียว

 

นัยเชิงนโยบายของการปิดด่าน

 

นโยบายปิดด่านของจอมพลสฤษฏ์เท่ากับเป็นคำตอบในตัวเองว่า การปิดด่านอาจจะให้ผลตอบแทนในระยะสั้นมากกว่า และแน่นอนว่า การกระทำเช่นนี้เป็น ‘ข่าวใหญ่’ ในตัวเอง เพราะการปิดด่านไม่ใช่เพียงสัญญาณของการตัดขาดทางเศรษฐกิจออกจากกันเท่านั้น หากยังเป็นสัญญาณถึง ‘การยกระดับ’ (Escalation) ของปัญหาในตัวเองอย่างชัดเจนด้วย

 

ผลที่เกิดขึ้นเห็นชัดในอีกส่วนคือ ความคาดหวังว่าการปิดด่านจะเป็นแรงกดดันให้ผู้นำรัฐบาล สปป.ลาว ต้องตอบรับข้อเรียกร้องของฝ่ายไทยในขณะนั้น ไม่เกิดผลในทางปฏิบัติจริงแต่อย่างใด เพราะ สปป.ลาวสามารถหันไปพึ่งพาการขนส่งสินค้าจากทางฝ่ายเวียดนามเหนือแทนได้เป็นอย่างดี และทำให้ สปป.ลาวในช่วงเวลาดังกล่าว ดูจะหันไปมีความใกล้ชิดกับเวียดนามเหนือมากขึ้น ซึ่งเท่ากับเป็นการทำลายผลประโยชน์แห่งชาติของไทยในระยะยาว

 

เราอาจต้องตระหนักว่า นโยบายต่างประเทศของไทยกับเพื่อนบ้านในเชิงอุดมคตินั้น ไทยควรมีความสัมพันธ์ที่ดี (และเป็นปกติ) กับประเทศเพื่อนบ้าน และความสัมพันธ์นี้จะทำให้ประเทศเพื่อนบ้านอยู่กับเราในฐานะ ‘คนใกล้ชิดข้างบ้าน’ ไม่ใช่เป็น ‘ศัตรูข้างบ้าน’ ที่พร้อมจะทำลายผลประโยชน์ด้วยการมีปัญหา และข้อพิพาทกันไม่รู้จบ เพราะต้องตระหนักในทฤษฎีทาง ‘ภูมิรัฐศาสตร์’ ว่า ด้วยความเป็นรัฐเพื่อนบ้านนั้น ไม่มีใครย้ายหนีจากใครได้…เช่นเดียวกับในชีวิตจริงที่ว่า ไม่มีใครทะเลาะกับเพื่อนบ้านที่เป็น ‘คนบ้านใกล้เรือนเคียง’ แล้ว จะมีความสุข

 

แม้จะต้องเจอกับ ‘เพื่อนบ้านเกเร’ ก็จะต้องหาทางที่อยู่กับภาวะเช่นนั้นให้ได้ เพราะความเป็นจริงในทางภูมิรัฐศาสตร์ที่โหดร้ายคือ ถึงเพื่อนบ้านจะเกเรอย่างไร เราก็จะต้องอยู่กับเขา เพราะปัญหาที่ย้ายหนีจากกันไม่ได้ของความเป็น ‘รัฐอาณาเขต’

 

ยุทธศาสตร์ของความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน จึงมีนัยว่า เพื่อนบ้านจะต้อง ‘เป็นเพื่อน-เป็นตลาด-เป็นเส้นทางเชื่อมต่อ’ ให้กับเรา และหากเกิดข้อพิพาท ก็ต้องหลีกเลี่ยงที่จะไม่ทำให้เกิด ‘การยกระดับ’ ของปัญหา จนสุดท้ายเหมือนในชีวิตจริงคือ ต้องเดินทางไปศาล เพราะต้องตระหนักว่า ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) โหดร้ายกว่าศาลภายใน เพราะคำตัดสินที่เกิดตามมาจากความขัดแย้งนั้น มีนัยโดยตรงถึงสถานะของดินแดนของรัฐคือ การได้/การเสียดินแดน ไม่ใช่เรื่องของที่ดินในบริบทของกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล

 

ปิดด่านในโลกเศรษฐกิจการเมืองโลกปัจจุบัน

 

ในบริบทของสถานการณ์ไทย-กัมพูชาอาจไม่แตกต่างกันมากนัก เราคาดหวังบนสมมุติฐานว่า การใช้มาตรการทางเศรษฐกิจด้วยการปิดด่านจะเป็นเครื่องมือที่ทำให้รัฐบาลกัมพูชาต้องยอมรับข้อเสนอของฝ่ายไทย เพราะเรามีความเหนือกว่า และกัมพูชาต้องพึ่งพาไทยในทางเศรษฐกิจ แต่สมมุติฐานเช่นนี้ เป็นความท้าทายอย่างมากว่า จะเป็นจริงเพียงใด?

 

สิ่งที่ฝ่ายไทยอาจจะต้องยอมรับความเป็นจริงโดยพื้นฐานคือ รัฐบาลกัมพูชาไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว และยังสามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้ตามปกติ หรือกัมพูชาไม่ได้อยู่ในสถานะของการไม่มีรัฐคู่ค้าเหลืออยู่ อีกทั้งกัมพูชาเป็นประเทศที่มีทางออกทะเล อันทำให้การปิดด่าน จะนำมาซึ่งความขาดแคลนภายในประเทศอย่างมาก จนทำให้รัฐบาลกัมพูชาต้องยอมปรับท่าทีใหม่ตามความต้องการของไทยนั้น แต่เอาเข้าจริงๆ ในทางปฏิบัติแล้ว ก็ไม่ชัดเจนว่าความคาดหวังนี้จะเป็นจริงเพียงใด

 

อีกทั้ง ต้องยอมรับอีกว่า กัมพูชาวันนี้ ไม่ใช่กัมพูชาในอดีตที่อ่อนแอมาก จนไทยสามารถเอาชนะด้วยการกดดันในรูปแบบต่างๆ ที่ไม่จำเป็นต้องถึงระดับของการใช้กำลังทหาร ใช้มาตรการทางเศรษฐกิจเป็นหลัก

 

อย่างไรก็ตาม เราอาจต้องทำความเข้าใจร่วมกันว่าความสำเร็จถ้าจะเกิดขึ้นได้จริงนั้น ก็จะต้องเป็นไปตามทฤษฎีของวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กล่าวคือ การกดดันของฝ่ายไทย จะต้องก่อให้เกิดสภาวะของ ‘ความขาดแคลนที่ทดแทนไม่ได้’ จนกัมพูชาต้องยอมรับเงื่อนไขของฝ่ายไทย เช่น เราเชื่อว่า หากไทยปิดด่านและห้ามการขนส่งน้ำมันข้ามแดนแล้ว กัมพูชาอาจจะเผชิญกับความขาดแคลนน้ำมัน จนกลายเป็น ‘วิกฤตพลังงาน’ ซึ่งอาจจะไม่เป็นจริง เพราะกัมพูชาไม่ได้พึ่งน้ำมันจากไทยประเทศเดียว จะส่งผลก็อาจกระทบกับปัญหาความขาดแคลนพลังงานในพื้นที่ชายแดนบางส่วน

 

ขณะเดียวกัน ก็มีประเทศที่อยากเข้าไปมีส่วนแบ่งการตลาดในการส่งน้ำมันขายให้แก่กัมพูชา ซึ่งเป็นเรื่องปกติในระบบทุนนิยม แม้เราจะเชื่อเพียงว่า คู่แข่งไทยทำไม่ได้อย่างเรา เพราะปัญหาระยะทางทางภูมิศาสตร์ที่ไกลจากกัมพูชา จะทำให้เกิดค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้นในการขนส่ง และไทยมีความใกล้ของระยะทางเป็นข้อได้เปรียบที่คู่แข่งอื่นๆ ไม่มี แต่ในทางการเมือง คนกัมพูชาอาจจะพร้อมจ่ายค่าพลังงานมากขึ้น เพราะอิทธิพลของกระแสต่อต้านไทยในประเทศของเขา…ต้องไม่ลืมว่า ครั้งหนึ่งเราก็เคยสร้างกระแส ‘ต่อต้านสินค้าญี่ปุ่น’ มาแล้วในสังคมไทย

 

อย่างไรก็ตาม จะต้องไม่ลืมอีกประการว่า การปิดด่านในยุคปัจจุบันมี ‘ผลกระทบด้านกลับ’ ที่ทำให้การขนส่งสินค้าจากฝั่งไทยไปยังตลาดกัมพูชาต้องยุติไปด้วย ซึ่งอาจถูกเรียกร้องว่าเป็นสิ่งที่ต้องทำในแบบของกระแสชาตินิยม แต่ผลในความเป็นจริง การปิดชายแดน ทำให้กิจกรรมทางธุรกิจในพื้นที่ชายแดนยุติลง และทั้งส่งผลให้ชีวิตชายแดนจะหยุดตามไปด้วย หรือเป็นไปตามคำกล่าวที่ว่า ‘ชายแดนรบ-ชายแดนตาย-กรุงเทพฯ สุขสบาย’ ซึ่งเงื่อนไขเช่นนี้ ทำให้ภาคธุรกิจและภาคสังคมชายแดนไม่ตอบรับกับกระแสชาตินิยมในทิศทางเช่นนั้น และอยากเห็นสภาวะ ‘ชายแดนสงบ-ชายแดนค้าขาย-กรุงเทพฯ สุขสบาย’

 

ในทางกลับกัน สิ่งที่ต้องระมัดระวังในมุมกลับคือ การปิดด่านอาจจะส่งผลต่อการขนส่งสินค้าของไทย เช่น ในกรณีของการส่งผลไม้ข้ามแดน เพราะผลไม้เป็นผลผลิตที่มีอายุสั้น หรือการสั่งซื้อสินค้าข้ามแดน ก็หยุดชะงักไปด้วย อันส่งผลให้การค้าชายแดนเกิดภาวะชะงักงันไปโดยปริยาย ประเด็นสำคัญอีกประการที่จะส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจไทยอย่างมากก็คือ ปัญหาแรงงานชาวกัมพูชาที่เกิดความหวาดกลัว และตัดสินใจกลับบ้าน ซึ่งจะทำให้เกิดความขาดแคลนแรงงานในภาคธุรกิจไทย

 

ข้อขัดข้องในอนาคต

 

การปิดด่าน ปิดชายแดนอาจจะส่งผลกระทบกับกัมพูชาในระยะสั้น แต่ในระยะยาว ประเทศเป้าหมายจะต้องปรับตัวหาแหล่งสนับสนุนทางเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งอาจไม่ใช่เรื่องยากในเศรษฐกิจโลกปัจจุบัน และอาจส่งผลให้ภาคธุรกิจไทยอาจจะถูกกดดันให้ต้องลดอิทธิพลในกัมพูชาลง

 

สภาวะเช่นนี้จะยิ่งส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้ง 2 ในอนาคต จะยิ่งมีปัญหามากขึ้น และอยู่ด้วยความหวาดระแวงมากขึ้น ซึ่งไม่น่าใช่ผลประโยชน์ของไทยในระยะยาว ทั้งต้องตระหนักเสมอว่า การปิดด่านเป็น ‘ดาบสองคม’ แต่ต้องระวังคมที่มากกว่าจะบาดมือเราเอง หรือหันกลับไปบาดมือทหารที่ประกาศปิดด่าน เพราะอำนาจในเรื่องนี้ เป็นอำนาจของรัฐบาลโดยตรงที่ใช้ผ่านสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ซึ่งไม่น่าจะเป็นอำนาจที่รัฐบาลสามารถโอนให้กับฝ่ายทหารได้โดยพลการ

 

ในความเป็นจริงดังที่กล่าวแล้วว่า เรื่องนี้เป็นอำนาจของรัฐบาล ซึ่งฝ่ายการเมือง (รัฐบาล) ควรจะเป็นผู้ประกาศเอง แต่กลับ ‘โยน’ ไปให้ฝ่ายทหารดำเนินการแทน ซึ่งทำให้เกิดการตีความว่า เป็นการแสดงออกของฝ่ายการเมืองในเวทีสาธารณะให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างรัฐบาลกับกองทัพ อย่างไรก็ตาม ในอีกด้าน ก็อาจจะต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดสภาวะที่การปิดด่านเป็นการแสดงออกอย่าง ‘ขึงขัง’ เพียงเพื่อสร้างภาพแก้ตัวหลังจากความเพลี่ยงพล้ำของผู้นำรัฐบาลในกรณีคลิปเสียงเท่านั้นเอง

 

บางทีวันนี้ ผู้มีอำนาจในการเมืองไทยควรต้องหันกลับมาถกแถลงทางยุทธศาสตร์อย่างจริงจังว่า อำนาจการกดดันจากการปิดด่านยังเป็นเครื่องมือสำคัญในนโยบายต่างประเทศไทยเพียงใด และแทนที่จะเน้นการปิดด่านที่เป็นเหมือนแนวทางการแก้ปัญหาที่เป็นข้อเสนอพื้นฐาน เราอาจต้องเน้นมาตรการ ‘การคุมเข้มด่าน’ ที่จะใช้ควบคุมการผ่านแดน โดยเฉพาะเพื่อป้องกันปัญหาการผ่านแดนของกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติต่างๆ และยังเน้นการเปิดด่านที่จะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบทางด้านมนุษยธรรม เช่น การผ่านแดนของผู้ป่วย และบรรดาเด็กนักเรียน เป็นต้น

 

ท้ายบท

 

สุดท้ายนี้ ในสถานการณ์ที่เกิดความตึงเครียดตามแนวชายแดนนั้น สิ่งที่จะเกิดตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือ การก่อตัวของกระแสชาตินิยม และว่าที่จริงแล้ว กระแสชาตินิยมเช่นนี้ เป็นปรากฏการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นทั้ง 2 ฝ่าย การควบคุมไม่ให้กระแสนี้ ขยายตัวจนกลายเป็นการยกระดับความขัดแย้งเป็นประเด็นสำคัญที่จะต้องระมัดระวัง เพราะกระแสนี้มักเชื่อใน ‘แนวทางของการใช้กำลัง’ ในการแก้ปัญหาข้อพิพาท

 

ด้วยกระแสชาตินิยมเช่นนี้ ต่างฝ่ายต่างเชื่อว่า กำลังรบของฝ่ายตนจะเป็นผู้ชนะในสนามรบ แต่การใช้กำลังไม่ว่าจะเกิดขึ้นอย่างไร ก็จะต้องจบลงด้วยการเจรจา หรือหากปัญหาความรุนแรงขยายวงออกไป สิ่งที่จะตามมาคือ การถูกกดดันให้ต้องนำปัญหาการใช้กำลังอาวุธเข้าสู่การพิจารณาของศาลโลก ซึ่งก็จะเป็น ‘ความล่อแหลม’ ในทางการเมืองเป็นอย่างยิ่งต่อสถานะด้านดินแดนของไทย และต้องยอมรับว่า การเดินไปในแนวทางเช่นนั้น ไม่น่าจะเป็นผลประโยชน์แห่งชาติของไทยทั้งในระยะสั้น และระยะยาว

 

ฉะนั้น ในท้ายที่สุด เราอาจต้องตระหนักว่า สงครามชายแดนอาจจะไม่ให้ผลตอบแทนแก่ไทยเราอย่างที่หวัง แต่อาจกลายเป็นผลลบที่มากกว่า และมักเป็นเช่นนั้นเสมอ!

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising