×

ไอร์ตัน เซนนา กับตำนานซิ่งด้วยจิตวิญญาณ ณ โมนาโก 1988

29.06.2025
  • LOADING...

นานมาแล้ว

 

ก่อนที่โมนาโกกรังด์ปรีซ์จะเป็นหนึ่งในรายการที่มีสีสันแต่น่าเบื่อมากที่สุดของรถแข่งฟอร์มูลาวัน ในวันที่การแข่งขันบนท้องถนนของสตรีทเรซที่งดงามที่สุดยังดุเดือดเร้าใจและเต็มไปด้วยการชิงไหวชิงพริบ

 

เคยมีนักขับคนหนึ่งที่สร้างปรากฏการณ์ด้วยการคว้าแชมป์รายการนี้ได้ถึง 6 สมัย และได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘ราชาแห่งโมนาโก’

 

ไอร์ตัน เซนนา คือราชาแห่งท้องถนนสายนี้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะการคว้าแชมป์ที่โมนาโกได้ถึง 5 สมัยติดต่อกันตั้งแต่ปี 1989-1993 กับทีมแม็คลาเรน

 

เพียงแต่เรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเซนนาที่สนามแห่งนี้กลับไม่ใช่การเข้าเส้นชัยผ่านธงตาหมากรุกและชูถ้วยแชมป์ แต่เป็นเรื่องราวของการขับในรอบคัดเลือกที่สุดมหัศจรรย์ในปี 1988 / 1 ปีหลังจากการคว้าแชมป์ที่นี่สมัยแรก 

 

และ 1 ปีก่อนการก้าวไปสู่ราชาแห่งโมนาโก

 

ในวันที่ไม่มีใครสามารถบันทึกเหตุการณ์เก็บเอาไว้นอกจากความทรงจำ…

 

วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม 1988 ที่มอนติคาร์โล โมนาโก 

 

ไอร์ตัน เซนนา เตรียมควบ MP4/4 รถรุ่นใหม่ของแม็คลาเรน ทีมใหม่ที่เขาเพิ่งย้ายมาเข้าร่วมด้วยในฤดูกาลนั้น หลังตัดสินใจอำลาทีมโลตัส เพราะเชื่อว่าการได้เข้าร่วมทีมระดับตำนานทีมนี้คือก้าวที่สำคัญของการเป็นนักแข่งที่จะทำให้เขาไปสู่ระดับสูงสุดได้

 

เซนนาคิดไม่ผิดเพราะรถ MP4/4 ของแม็คลาเรนที่ใช้เครื่องยนต์ของฮอนด้า คือรถม้าศึกที่ทรงพลังที่สุดในเวลานั้น และแม็คลาเรนก็มีขุนศึกผู้เก่งกาจที่สุดถึง 2 คนในทีมเดียวกัน โดยนอกจากเซนนาแล้วอีกคนคือ อแล็ง โพรสต์ คู่แข่งแห่งชีวิตที่เป็นทั้งมิตรและศัตรูในสนาม

 

 

สำหรับทั้งสองในช่วงแรกความสัมพันธ์ระหว่างกันยังเป็นไปอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยในฐานะเพื่อนร่วมทีม

 

แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นนักแข่งแล้ว ไม่มีใครอยากจะเป็นสองรองใคร

 

ไม่มีใครรู้ว่านั่นเป็นเหตุผลจริงๆ หรือไม่ที่ทำให้เซนนา ต้องเอาจริงเอาจังแม้กระทั่งในการลงสนามรอบคัดเลือก (Qualifying) ที่โมนาโกกรังด์ปรีซ์ รายการที่เขาเพิ่งจะคว้าแชมป์มาครองได้ในปีก่อนหน้า

 

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นคือหนึ่งในเรื่องเล่าที่มีมนตร์เสน่ห์ที่สุดเรื่องหนึ่งของสุดยอดนักขับชาวบราซิลที่เป็นแรงบันดาลใจของยอดนักขับอีกมากมาย

 

โดยในการลงรอบคัดเลือกเพื่อแข่งกันทำเวลาให้ดีที่สุดแลกกับการได้ตำแหน่งโพล (Pole Position) ซึ่งหมายถึงการเพิ่มโอกาสสูงในการจะเป็นผู้ชนะในรายการ วันนั้นไม่มีใครจะแรงไปกว่าคู่หูจากแม็คลาเรน ซึ่งเป็นรถที่ทรงพลังที่สุดในเวลานั้น

 

ทั้งเซนนาและโพรสต์ใช้รถรุ่นเดียวกัน โมเดลเดียวกัน และการเซ็ตอัพทุกอย่างที่เหมือนกัน

 

ความแตกต่างระหว่างกันมีเพียงแค่ฝีมือในการขับขี่เท่านั้น

 

ตามถ้อยคำของ นีล โอตลีย์ ผู้จดบันทึกข้อมูลเวลาในวันนั้นบอกว่า ทั้งสองคนขับขี่ได้อย่างยอดเยี่ยมอย่างที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะโพรสต์ที่คว้าแชมป์ 2 จาก 4 สนามก่อนหน้านั้นที่ถือว่าขับทำเวลาได้ดีพอสมควรเลยทีเดียว

 

แต่เซนนา ซึ่งความจริงได้ตำแหน่งโพลแน่นอนแล้วในช่วงเซสชันสุดท้าย กลับทำในสิ่งที่ไม่มีใครอยากเชื่อด้วยการทำได้ดีกว่าโพรสต์ไปในอีกระดับ

 

ไม่ใช่แค่หลักเสี้ยววินาที แต่เป็นระยะเวลาเกือบ 2 วินาทีที่ทำได้ดีกว่า ซึ่งสำหรับการแข่งรถแล้วเวลาที่ห่างมากขนาดนั้นไม่ใช่เรื่องที่ทำกันได้ง่ายๆ

 

กระดาษจับเวลาแผ่นสีชมพูจากรอบควอลิฟายของ ไอร์ตัน เซนนา ในศึกโมนาโกกรังด์ปรีซ์ ปี 1988

 

นีลเล่าว่า “ผมจดเวลาให้กับรถของอแล็งอยู่ เขาทำเวลาลงมาได้ถึง 1 นาที 26.9 วินาที แต่เซนนาก็ทำได้ไวกว่าที่ 24.4 วินาที”

 

“พออแล็งทำได้ดีขึ้นไปอีกที่ 25.4 วินาที ไอร์ตันกลับทำได้ที่ 23.9 วินาที ผมยังจำใบหน้าถอดสีของอแล็งในวันนั้นได้ เขาไม่อยากเชื่อว่าไอร์ตันทำไมถึงสามารถทำเวลาได้แบบนั้นทั้งๆ ที่ด้วยเทคโนโลยีทั้งหมดเหมือนกัน แต่ฝีมือของนักขับสามารถสร้างความแตกต่างได้มากขนาดนั้น”

 

ในเรื่องนี้หากเอาไปถามเซนนา คำตอบที่ได้จากเขาคือ “ไม่รู้เหมือนกัน”

 

โดยคำตอบนี้ไม่ได้เป็นการยียวนหรือกวนประสาท แต่เป็นเพราะเขาจำอะไรไม่ได้เลย การขับในสนามวันนั้นของเขาปราศจากสติสัมปชัญญะ หรือพูดง่ายๆ คือขับไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่

 

เหมือนจิตของเขาได้หลุดไปในอีกโลกหนึ่ง

 

“ในเวลาที่ผมแข่งขันกับนาฬิกาหรือแข่งกับนักแข่งคนอื่น ความรู้สึกของความคาดหวังว่าอยากจะทำออกมาให้ดีที่สุดและเป็นคนที่เก่งที่สุดทำให้ผมมีพลังบางอย่าง มันมีบางช่วงเวลาที่ผมขับโดยที่ตัดขาดจากทุกอย่าง จากโค้งสู่โค้ง จากรอบสู่รอบ”

 

“ในการแข่งที่มอนติคาร์โลปี 1988 ในเซสชันสุดท้ายของรอบคัดเลือก ความจริงผมได้ตำแหน่งโพลแล้ว แต่ผมกลับยิ่งขับไวขึ้นอีก เร็วขึ้นอีก จากที่อยู่ตำแหน่งโพล ผมเริ่มทำเวลาทิ้งห่างครึ่งวินาที จากนั้นก็หนึ่งวินาที และผมยังไปต่อเรื่อยๆ จนกลายเป็นว่าผมขับเร็วกว่าคนอื่นเกือบ 2 วินาที ซึ่งรวมถึงเพื่อนของผม (โพรสต์) ที่ขับรถรุ่นเดียวกัน”

 

“ตอนนั้นเองที่ผมตระหนักว่าผมกำลังขับรถโดยไม่มีสติอยู่กับตัว ราวกับผมขับรถด้วยสัญชาตญาณ เหมือนผมอยู่ในอีกมิติที่แตกต่าง เหมือนการไปตามอุโมงค์ ซึ่งไม่ได้หมายถึงอุโมงค์ใต้โรงแรม (ส่วนหนึ่งของเซอร์กิต) แต่ทุกที่เป็นอุโมงค์เหมือนกันหมด และผมก็แค่ขับไปเรื่อยๆให้เร็วขึ้นไปอีก แล้วบางอย่างก็ปลุกผมกลับมา ผมเลยเริ่มขับช้าลงและกลับเข้าพิตโดยที่ไม่คิดจะออกมาอีก”

 

วันนั้นเซนนาทิ้งห่างโพรสต์ 1.427 วินาที และห่างจาก P3 อย่างแกร์ฮาร์ด แบร์เกอร์ จากทีมเฟอร์รารี 2.687 วินาที

 

ประสบการณ์การขับในช่วงเวลานั้นสำหรับเซนนาเป็นเรื่องที่ได้รับการพูดถึงอย่างมากในช่วงเวลานั้นว่าเป็นประสบการณ์เหนือธรรมชาติและการรับรู้ของคนปกติ 

 

 

สำหรับคนที่รู้จักเซนนาดีจะรู้ว่าเขาเป็นคนที่นับถือศาสนาและศรัทธาในพระเจ้าสุดหัวใจ

 

ช่วงเวลาดังกล่าวนั้น แม้เขาจะไม่พูดออกมาตรงๆ แต่ก็ชวนให้เข้าใจได้ว่าในความรู้สึกของเขาแล้ว มันเป็นช่วงเวลาที่ไม่สามารถจะหาคำใดมาอธิบายความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้

 

มันเป็นช่วงเวลาสำหรับเซนนาเพียงคนเดียว และไม่เคยมีนักแข่งคนไหนที่เคยมีประสบการณ์ในแบบเดียวกันนี้อีกเลย

 

สิ่งที่น่าเสียดายคือไม่มีการบันทึกภาพเหตุการณ์การขับของเซนนาในรอบมหัศจรรย์นั้นไว้ ด้วยข้อจำกัดของเทคโนโลยีของการถ่ายทอดสดเวลานั้น

 

แต่มีคนจำนวนหนึ่งที่ได้เห็น หนึ่งในนั้นคือ อแล็ง เมนู ตำนานนักขับรถทัวริ่งที่ในเวลานั้นเพิ่งจะลงรอบคัดเลือกในการแข่งรถรุ่น F3 

 

“มันเป็นพื้นที่ปิดจึงมีคนไม่มากในบริเวณนั้นแต่ผมดีใจที่ผมได้อยู่ที่นั่น” เมนูบอก 

 

“ถ้าผมไม่ได้เห็นกับตา แค่ได้ยินสิ่งที่เขาเล่าผมก็คงคิดว่ามันก็คงเป็นแค่รอบที่ยอดเยี่ยมเท่านั้น แต่ในวันนั้นมันมีบางสิ่งที่พิเศษเกิดขึ้น และผมเชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่พิเศษจริงๆ เพราะผมไม่เคยเห็นรถแข่งคันไหนทำแบบนั้นได้อีกเลย”

 

ในวันรุ่งขึ้นกับรอบแข่งขัน Main Race เซนนาทิ้งห่างโพรสต์มากถึง 50 วินาที การันตีตำแหน่งแชมป์แน่ๆ ขอเพียงแค่ประคองเข้าเส้นชัย

 

แต่ในรอบที่ 67 นักแข่งบราซิลที่ขับอย่างบ้าระห่ำควบรถคันเก่งของเขาไปชนแบร์ริเออร์จนต้องออกจากการแข่งขัน ก่อนจะกระโดดออกจากตัวรถแล้วเดินออกจากสนามแข่งทันทีเพื่อกลับห้องพักของเขาที่อยู่ในเมืองโมนาโกโดยไม่กลับออกมาพบเจอใครอีกในวันนั้น

 

ในปี 1994 เซนนาประสบอุบัติเหตุร้ายแรงในการแข่งขันที่อิโมลา

 

และโลกได้สูญเสียนักแข่งที่เก่งกาจที่สุดไปตลอดกาล

 

อ้างอิง

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising