ออนไลน์ป้ายยาเก่งกว่าโชว์รูม? คนไทยซื้อรถยุคใหม่ เชื่อรีวิวอินฟลูเอ็นเซอร์บน Facebook และ Instagram มากกว่า 60%

ยุคดิจิทัลพลิกโฉมวงการยานยนต์ไทย! งาน ‘Unlocking the potential of Thailand’s automotive market’ โดย MI GROUP และ I-DAC Bangkok ภายใต้เครือ HAKUHODO ได้เผยข้อมูลเชิงลึกที่ชี้ให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของแพลตฟอร์ม Meta (Facebook และ Instagram) ที่เข้ามามีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์ของผู้บริโภคอย่างไม่เคยมีมาก่อน

ผลวิจัยชี้ชัดว่า Meta ครองใจผู้บริโภคตลอดเส้นทางการตัดสินใจซื้อ (Customer Journey) ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการสร้างแรงบันดาลใจ (65.1%) การค้นหาข้อมูล (67.4%) ไปจนถึงการประเมินและตัดสินใจซื้อ (62.5%) นี่แสดงให้เห็นว่า Meta ไม่ได้เป็นเพียงแค่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย แต่ยังเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ทรงพลังสำหรับแบรนด์ยานยนต์

คอนเทนต์จากอินฟลูเอ็นเซอร์ยังคงมีอิทธิพลอย่างมากต่อผู้บริโภค โดย 61.6% ของผู้ซื้อได้รับแรงบันดาลใจจากคอนเทนต์ออนไลน์ 58.7% ค้นพบรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ผ่านอินฟลูเอ็นเซอร์ และ 59.5% นำข้อมูลจากอินฟลูเอ็นเซอร์มาใช้ในการตัดสินใจซื้อ

นี่เป็นโอกาสทองสำหรับแบรนด์ในการร่วมมือกับอินฟลูเอ็นเซอร์เพื่อสร้างการรับรู้และความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์

ผู้บริโภคยุคดิจิทัลต้องการคอนเทนต์ที่ตรงใจและตอบโจทย์ความต้องการของพวกเขาจริงๆ การใช้ Personalized Content บนแพลตฟอร์ม Meta จึงเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างปฏิสัมพันธ์และกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อ

ผู้บริโภคยุคใหม่ไม่ลังเลที่จะติดต่อแบรนด์หรือตัวแทนจำหน่ายโดยตรงผ่านช่องทาง Direct Message บน Facebook Messenger (64.5%) และ Instagram (40.7%) เพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม นี่เป็นโอกาสสำหรับแบรนด์ในการสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับลูกค้า และตอบสนองความต้องการของพวกเขาได้อย่างทันท่วงที

ในงานดังกล่าวยังได้เผย 7 Key Highlights เพื่อแนะนำแบรนด์สู่ความสำเร็จในตลาดยานยนต์ยุคดิจิทัลดังนี้

1. ความต้องการของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา: แบรนด์ต้องปรับตัวให้ทันกับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นความต้องการด้านเทคโนโลยี ความใส่ใจในสิ่งแวดล้อม หรือความต้องการประสบการณ์การใช้งานที่แตกต่าง การสำรวจและวิเคราะห์ข้อมูลผู้บริโภคอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญ
2. Gen Z คือผู้นำเทรนด์: เข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของ Gen Z เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ กลุ่ม Gen Z มีความคุ้นเคยกับเทคโนโลยีดิจิทัลและโซเชียลมีเดียเป็นอย่างดี การสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่น่าสนใจและตรงกับไลฟ์สไตล์ของพวกเขาจึงเป็นสิ่งสำคัญ
3. Meta คือแพลตฟอร์มหลัก: แพลตฟอร์ม Meta ได้แก่ Facebook และ Instagram มีบทบาทสำคัญตลอด Customer Journey ของคนที่จะซื้อรถยนต์ ดังนั้นแบรนด์จึงควรใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์ม Meta อย่างเต็มที่ในการเข้าถึงผู้บริโภค ทั้ง Facebook และ Instagram ซึ่งมีเครื่องมือและฟีเจอร์ที่หลากหลายที่ช่วยให้แบรนด์สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. Influencer Marketing ยังคงสำคัญ: ร่วมมือกับอินฟลูเอ็นเซอร์เพื่อสร้างการรับรู้และความน่าเชื่อถือ การเลือกอินฟลูเอ็นเซอร์ที่เหมาะสมกับแบรนด์และกลุ่มเป้าหมายเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถสื่อสารข้อความของแบรนด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5. Personalized Content คือหัวใจ: สร้างคอนเทนต์ที่ตรงใจและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค การใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีในการสร้าง Personalized Content จะช่วยให้แบรนด์สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าและเพิ่มโอกาสในการขาย
6. Direct Message คือช่องทางสื่อสารสำคัญ: สร้างปฏิสัมพันธ์และตอบสนองความต้องการของลูกค้าผ่าน Direct Message ถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะวันนี้การ Direct Message หาแบรนด์รถยนต์และดีลเลอร์กลายเป็นเรื่องปกติในปัจจุบัน ดังนั้นการมีทีมงานที่พร้อมให้บริการและตอบคำถามลูกค้าผ่านช่องทาง Direct Message จะช่วยสร้างความประทับใจและความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า
7. Top of Mind คือเป้าหมาย: สร้างแบรนด์ให้เป็นที่จดจำและเป็นตัวเลือกแรกในใจผู้บริโภค การสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจะช่วยให้แบรนด์โดดเด่นและเป็นที่จดจำในใจผู้บริโภค

คำถามที่น่าสนใจคือ แบรนด์ยานยนต์ไทยจะปรับตัวอย่างไรเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในยุคดิจิทัล? กลยุทธ์การตลาดแบบใดที่จะสามารถดึงดูดใจผู้บริโภค Gen Z และรักษาความเป็น Top of Mind ในตลาดที่มีการแข่งขันสูง? การลงทุนในเทคโนโลยีดิจิทัลและการพัฒนาบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญด้านการตลาดดิจิทัลอาจจะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้แบรนด์ยานยนต์ไทยประสบความสำเร็จในยุคดิจิทัล

ภาพ: Creative Stock Studio / Shutterstock