“ฉันยังไม่อยากตาย ฉายา ขาแดงของฉัน มาได้แค่นี้ล่ะนะ”
ภาพของชายชราขาขาด ที่ตัวเองเพิ่งคิดจะปักมีดเข้ากลางหลัง เพราะหวังชิงอาหารที่เหลืออยู่ หลังจากติดอยู่บนเกาะร้างขนาดเล็กที่มีเพียงแค่หยดน้ำจากร่องหินให้กินมาถึงวันที่ 70
ทำให้ซันจิถึงกับต้องหลั่งน้ำตาเมื่อรู้ว่าคนที่เขาหวังเอาชีวิต ต้องสละ ‘ขา’ อันแข็งแกร่งที่เป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของ ‘เซฟขาแดง’ เพื่อเปลี่ยนเป็น ‘อาหาร’ ประทังชีวิต เพราะแบ่งอาหารที่เหลือทั้งหมดให้ซันจิไปหมดแล้ว ในขณะที่ถุงใบใหญ่ที่ซันจิเคยคิดว่าเป็นอาหาร นั้นกลายเป็นเพียงถุงสมบัติกองโตที่ไม่มีค่าอะไรเลยเมื่ออยู่บนเกาะร้างไร้ผู้คน
“ถ้าไม่มีขานั่นแกก็เป็นโจรสลัดไม่ได้แล้ว ทั้งที่ฉันคิดจะฆ่าแก และไม่คิดทำดีกับแกสักนิด แล้วทำไม?” ในหัวของซันจิที่ยังเด็กเกินกว่าจะรู้ความ มีแต่ความโมโหและคำถามมากมาย หากแต่คำตอบของชายแก่นั้นมีแต่ความเรียบง่ายและความเข้าใจ
“เพราะแกกับฉัน มีความฝันเหมือนกันน่ะสิ”
เพื่อให้ความฝันของเด็กน้อยที่อยากเห็น ‘ออลบลู’ มหาสมุทรที่มีปลาทุกชนิดอาศัยอยู่ของซันจิยังมีอยู่ต่อไปได้ เซฟขาแดงต้องยุติความฝันของตัวเองลง และเปลี่ยนไปเริ่มต้นความฝันใหม่ กับการสร้าง ‘บาราติเอ’ ภัตตาคารลอยน้ำเพื่อทำอาหารให้กับ ‘ทุกคน’ ที่หิวโหยกลางท้องทะเล
การเสียสละ ‘ความฝัน’ อันยิ่งใหญ่ ทำให้ซันจิตัดสินใจอุทิศชีวิตเพื่อช่วย ‘ตาแก่ขี้โมโห’ สร้างภัตตาคารในฝันขึ้นมาจนสำเร็จ พร้อมกับฝีมือการทำอาหารชั้นยอดที่ถ่ายทอดต่อกันมา และคติประจำใจที่ว่า ต่อให้อีกฝ่ายชั่วช้าแค่ไหน แต่สำหรับกุ๊กแล้ว เมื่อมีคนอยากกินก็ต้องทำให้กิน! แล้วหลังจากนั้นค่อยจัดการความชั่วร้ายนั้นทีหลัง
เมื่อถึงเหตุการณ์ที่ ดอน ครีก บุกมาที่บาราติเอ พร้อมกับลูกน้องที่หิวโซ ซันจิและเซฟก็ทำอาหารไปเสิร์ฟให้ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าครีกนั้นเป็นจอมหลอกหลวงแห่งท้องทะเลตะวันออก ถึงขนาดขู่ฆ่าเซฟเพื่อชิงภัตตาคารลอยน้ำไปเป็นของตัวเอง และครั้งนี้เป็นซันจิที่ยอมโดนอัด พร้อมสละชีวิตโดยไม่ตอบโต้ เพื่อปกป้องผู้มีพระคุณเอาไว้
“ฉันแย่งชิงอะไรจากลุงนั่นมามากพอแล้ว ทั้งกำลัง ฝีมือ ความฝัน ฉันไม่อยากให้ตาลุงนั่นต้องเสียอะไรไปแม้แต่อย่างเดียว ฉันต้องการให้ที่นี่เป็นภัตตาคารต่อไปแม้จะยาวนานขึ้นแค่วินาทีก็ยังดี”
เป็นอีกครั้งที่ซันจิอ่อนเดียงสาเกินไป กระทั่งลูฟี่ที่มีประสบการณ์เห็นแชงก์สโดนปลากัด (ไม่ใช่!) โดนเจ้าแห่งท้องทะเลกัดแขนเพื่อช่วยชีวิตเขา เตือนสติขึ้นมาว่า
“ตายไปแล้วจะทดแทนบุญคุณได้เรอะ เขาไม่ได้ช่วยชีวิตเราเพื่อให้ทำอะไรแบบนั้นหรอกนะ ได้ชีวิตใหม่คืนมา แต่จะยอมตายแบบนี้มันคนอ่อนแอชัดๆ”
ซันจิถึงได้รู้ว่าชีวิตไม่อาจแลกชีวิต การตายไม่ใช่การทดแทนบุญคุณ เพราะการตอบแทบ ‘ขา’ ของเซฟได้ดีที่สุด คือการที่เขาต้องออกเดินทางเพื่อไปค้นพบ ‘ออลบลู’ ความฝันสูงสุดของพวกเขาด้วยตัวเอง
#วันพีซเป็นมากกว่าการ์ตูน #OnePieceDay #OnePiece23Years
รอยยิ้มของโนยิโกะในวัย 3 ขวบ ที่อุ้มทารกนามิที่กำลังหัวเราะ เดินฝ่าซากปรักหักพังมาหา เป็นเหมือนแสงสว่างปลุกให้ ‘เบลเมล’ อดีตทหารเรือที่เกือบเสียชีวิตจากการปฏิบัติภารกิจ รู้สึกอยากมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งในฐานะ ‘แม่’ ของเด็กน้อยทั้ง 2 คน
“เด็กพวกนี้ฉันจะรับผิดชอบเอง จะเลี้ยงดูพวกเขาให้เติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ดี ไม่ยอมแพ้ต่อยุคสมัยบ้าๆ นี้”
เบลเมลหอบเด็กน้อยฝ่าฝนกลับมาที่หมู่บ้าน เลิกออกเดินทางเสี่ยงชีวิต ปลูกไร่ส้มเล็กๆ เพื่อเลี้ยงดูอีก 2 ชีวิตที่เพิ่มเข้ามา แต่ด้วยนิสัยแข็งกระด้าง ห้าวหาญเหมือนผู้ชาย ทำให้บทบาทความเป็น ‘แม่’ ไม่เคยง่ายสำหรับเบลเมล
หลายครั้งเธอต้องปวดหัวกับความซนของนามิและโนยิโกะ หลายครั้งรายได้ก็ขัดสน ต้องยอมอดอาหารเพื่อให้ลูกๆ อิ่มท้อง หลายครั้งต้องทะเลาะกันเป็นเรื่องราวใหญ่โต แต่สุดท้ายทั้ง 3 คน ก็ผ่านเรื่องราวทั้งหมดมาด้วยกันอย่างมีความสุข
กระทั่งวันที่กลุ่มโจรสลัดของมนุษย์เงือกอารองบุกมาที่หมู่บ้าน และใช้อำนาจเรียกเก็บส่วยจากทุกคนในอัตราผู้ใหญ่คนละ 100,000 เบรี และเด็กคนละ 50,000 เบรี แน่นอนว่าเบลเมลไม่มีเงินจ่าย แต่โชคดีที่ตอนนั้นนามิกับโนยิโกะไม่อยู่ เก็นและชาวบ้านช่วยกันรวบรวมเงินจ่ายแทนในส่วนของเบลเมลจนครบ แต่เธอกลับเลือกทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด
“เด็กสองคนหนึ่งแสนเบรี นั่นเป็นส่วนของลูกสาวฉัน ส่วนตัวของฉันมีเงินให้ไม่พอ ขอโทษนะ ถึงจะต้องตาย แต่ฉันรับไม่ได้ที่จะพูดว่าไม่มีครอบครัว ฉันอยากจะเป็นแม่คนน่ะ และเด็กพวกนั้นก็เป็นลูกของฉันจริงไหม”
เบลเมลยอมสละชีวิตตัวเองเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของความเป็นแม่ เธอรู้ดีว่านามิและโนยิโกะนั้นเข้มแข็งพอที่จะมีชีวิตรอดต่อไป เป็นเธอเองต่างหากที่คงเจ็บปวดจนทนไม่ไหว ถ้าต้องปฏิเสธว่าเด็กทั้ง 2 คนนี้ไม่ใช่ลูกของเธอ
วินาทีที่กระสุนปืนแล่นผ่านหัว ชีวิตของเบลเมลหลุดลอย ทุกคนในหมู่บ้านอยู่ภายใต้การปกครองแบบเผด็จการของอารอง แต่เมล็ดพันธุ์แห่งความแข็งแกร่งที่ปลูกเอาไว้ เติบโตขึ้นมาในจิตใจของลูกสาวทั้ง 2 คน
โดยเฉพาะนามิ ที่ยอมเสียสละเข้าร่วมกับพวกอารองในฐานะนักวิจัยและคนเขียนแผนที่เดินทะเล และออกเดินทางในฐานะ ‘ขโมยโจรสลัด’ เก็บเงิน 100 ล้านเบรีเพื่อซื้อหมู่บ้านคืนจากอารอง
ถึงแม้สุดท้ายจะถูกอารองหักหลัง ความหวังทั้งหมดพังไปพริบตา แต่ทันทีที่ลูฟี่ก้าวเข้ามาทำลายห้องที่นามิถูกบังคับให้เขียนแผนที่ พร้อมกับอาณาจักรอารองที่ล่มสลาย
เด็กสาวที่ทิ้งรอยยิ้มไปตั้งแต่เด็ก ก็สามารถหัวเราะขึ้นมาอีกครั้งได้จากก้นบึ้งของหัวใจ และออกผจญภัยฝ่า ‘ยุคสมัยบ้าๆ’ ร่วมกับลูฟี่และสมาชิกกลุ่มหมวกฟางได้อย่างเข้มแข็ง เหมือนอย่างเบลเมลผู้เป็นแม่ตั้งใจเอาไว้ได้จริงๆ
#วันพีซเป็นมากกว่าการ์ตูน #OnePieceDay #OnePiece23Years
หนึ่งในฉากที่ทำให้แฟนบอยของ โรโรโนอา โซโร กรี๊ดได้มากที่สุด เมื่อกลุ่มโจรสลัดหมวกฟางเดินทางมาถึงโล้กทาวน์ เมืองแห่งจุดเริ่มต้น และนักดาบจอมหลงต้องหาดาบเล่มใหม่เพื่อชดเชยดาบคู่เก่าที่ถูกชายตาเหยี่ยวทำลายไปพร้อมความมั่นใจที่สะสมมาทั้งชีวิต
แต่ด้วยความที่เป็นโจรสลัดถังแตก ทำให้เขาต้องไปค้นหาจากกองดาบราคาถูกไม่เกิน 50,000 เบรี แต่ยังโชคดีที่มี ซังไดคิเทสึ ‘ดาบอาถรรพ์’ ที่สูบวิญญาณผู้ใช้ให้พบกับความตาย จนไม่มีใครกล้ากวัดแกว่ง ต้องมานอนรวมอยู่กับดาบราคาถูกทั้งที่มีคุณค่ามากกว่านั้น
ไม่รู้เพราะความมั่นใจหรือความจน ที่ทำให้โซโรตัดสินใจซื้อดาบเล่มนี้ทันที และแน่นอนว่าเจ้าของร้านรีบคัดค้านอย่างหัวเด็ดตีนขาด
“ฉันขอซื้อดาบนี้ เอางี้ไหม จะลองทดสอบดูว่าดวงของฉันกับอาถรรพ์ของเจ้านี่อะไรมันจะแน่กว่ากัน ถ้าฉันแพ้ ชะตาของฉันคงมาได้แค่นี้”
โซโรโยนดาบขึ้นฟ้า กางแขน หลับตานิ่งไม่คิดหลบ จนกระทั่งดาบที่ว่าอาถรรพ์รุนแรงยังต้องเอี้ยวตัวหลบ ค่อยๆ หมุนควงรอบแขน ตกลงพื้นอย่างสงบนิ่ง
“ขอเลยนะ”
เพื่อพิสูจน์ว่านอกจากฝีมือที่แข็งแกร่ง ‘ดวงชะตา’ ของเขาไม่ได้ถูกกำหนดให้หยุดอยู่แค่นี้ หรืออีกแง่หนึ่งโซโรต้องการที่จะบอกว่า ถ้าเอาชนะ ‘อาถรรพ์’ แค่นี้ไม่ได้ เขาจะเอาชนะชายตาเหยี่ยว และก้าวขึ้นเป็นนักดาบที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกได้อย่างไร
แม้กระทั่งเจ้าของร้านที่คอยต้มตุ๋นนักดาบสมัครเล่นมาโดยตลอด ยังยอมรับในความมุ่งมั่นจนถึงขั้นบ้าบิ่น และยอมมอบ ยูบาชิ ดาบที่ดีที่สุดในร้านให้กับโซโรแบบไม่คิดเงิน
“ดาบเป็นผู้เลือกเจ้าของของมัน ลูกผู้ชายฝากความฝันไว้กับลูกผู้ชาย มันผิดตรงไหนกัน”
#วันพีซเป็นมากกว่าการ์ตูน #OnePieceDay #OnePiece23Years
ณ เมืองโล้กทาวน์ ก่อนที่กลุ่มโจรสลัดหมวกฟางจะเริ่มเดินทางเข้าสู่แกรนด์ไลน์ ในขณะสมาชิกคนอื่นๆ แยกย้ายกันไปทำธุระ สิ่งเดียวที่ลูฟี่อยากไปเห็นให้ได้สักครั้งในชีวิต คือสถานที่ประวัติศาสตร์ที่เป็นทั้งบ้านเกิดและหลุมศพของ โกล ดี. โรเจอร์
ลูฟี่ปีนขึ้นไปบนแท่นประหาร เพราะอยากเห็นทิวทัศน์แบบเดียวกับที่เจ้าแห่งโจรสลัดได้เห็นก่อนตาย และเขาก็ได้เห็นภาพนั้นสมใจ แต่ก็แลกมากับการที่เขาต้องถูกจับโดยกลุ่มโจรสลัดตัวตลก ศัตรูเก่าที่จัดท่าทางของลูฟี่พร้อมประหารในท่าเดียวกับที่โรเจอร์เคยโดนแบบเป๊ะๆ
ไม่ใช่แค่ท่าทางเท่านั้นที่เหมือนกัน เพราะแม้จะรู้ว่านี่คือวินาทีสุดท้ายของชีวิต เขาก็ไม่ได้ร้องไห้ ฟูมฟาย เสียดายชีวิตอันแสนสั้น สิ่งที่เขาทำมีแค่ยืนยันประโยคที่เขายึดมั่นมาตลอดชีวิตว่า “ฉันคือผู้ที่จะเป็นเจ้าแห่งโจรสลัด!”
ก่อนที่จะฉีกยิ้มและส่งเสียงหัวเราะ ราวกับความตายนั้นเป็นเพียงเรื่องเล่าที่แสนตลก และกล่าวคำลาสั้นๆ กับเพื่อนพ้องว่า
“โทษทีนะ ฉันคงไม่รอดแน่”
และอยู่ๆ พายุก็โหมกระหน่ำ และฟ้าผ่าลงมากลางลานประหาร เพราะตัวเป็นยาง ลูฟี่เลยรอดชีวิตได้อย่างปาฏิหาริย์ ชนิดที่ถ้าไม่ใช่เพราะ ‘สกิลพระเอก’ แบบที่หลายคนว่าเอาไว้
รอยยิ้มและเสียงหัวเราะในสถานการณ์คอขาดบาดตายครั้งนั้น อาจเป็นการส่งสัญญาณอยู่กลายๆ ว่า ลูฟี่นี่แหละคือว่าที่เจ้าแห่งโจรสลัดคนต่อไป
#วันพีซเป็นมากกว่าการ์ตูน #OnePieceDay #OnePiece23Years
หนึ่งในฉากประทับใจจาก One Piece ที่แสดงให้เห็นว่าจริงๆ แล้วกัปตันลูฟี่ที่ดูเหมือนบ้าๆ บอๆ ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง นั้นเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนโยนและละเอียดอ่อนยิ่งกว่าใคร เมื่อได้พบกับ ลาบูน วาฬไอร์แลนด์ที่ตัวใหญ่เท่าภูเขา ณ แหลมแห่งพันธะสัญญา
ย้อนกลับไป 50 ปีก่อน ลาบูนออกเดินทางติดตามโจรสลัดนิสัยดีกลุ่มหนึ่งมาถึงลูซเมาท์เทน ทางเข้าแกรนด์ไลน์ พวกเขารู้ดีว่าการเดินทางข้างหน้าอันตรายเกินไปสำหรับวาฬตัวน้อย เลยบอกให้ลาบูนรออยู่อีกฝั่งแล้วสัญญาว่าจะกลับมารับเมื่อเดินทางรอบโลกสำเร็จแล้ว
อย่างที่รู้กันว่าแกรนด์ไลน์นั้นไม่เคยอ่อนข้อให้ใคร วันหนึ่งผู้ดูแลคร็อกครัสตัดสินใจบอกความจริงว่า โจรสลัดกลุ่มนั้นออกจากแกรนด์ไลน์และไม่มีวันกลับมาเจอกับลาบูนได้อีกแล้ว
สิ่งที่ลาบูนทำหลังจากนั้น คือหันหน้าไปอีกฝั่ง ตะโกนร้องจนสุดเสียง แล้วเอาหัวพุ่งชนลูซเมาท์เทนในทุกๆ วัน เหมือนเป็นการยืนยันว่าสักวันหนึ่ง ‘เพื่อน’ จะต้องกลับมาหามันอย่างแน่นอน
แผลที่ถลอกจนเต็มหัว คือสัญลักษณ์ที่บอกว่าลาบูนอยู่ได้อีกไม่นาน ถ้าไม่เลิกเอาหัวพุ่งชนภูเขา และเป็นเวลานี้เองที่กัปตันจอมระห่ำ หยิบเสากระโดงเรือปืนขึ้นไปปักกลางหัว พร้อมกับท้า ‘วาฬ’ ให้หันมาสู้กับตัวเอง
“ฉันเก่งมากใช่มั้ย ฉันกับแกยังตัดสินกันไม่รู้ผล พวกพ้องของแกตายไปแล้ว แต่ฉันยังมีชีวิตอยู่ พวกเราจะเดินทางรอบแกรนด์ไลน์ แล้วจะกลับมาเจอแกอีกครั้ง ไว้ตอนนั้นเรามาทะเลาะกันอีก
“นี่คือสัญลักษณ์การต่อสู้ระหว่างฉันกับแก ห้ามเอาหัวชนสัญลักษณ์นั้นหาย จนกว่าเราจะกลับมาพบกันอีกครั้งที่นี่นะ”
แม้จะเจ็บปวดที่บาดแผล แถมยังมีสัญลักษณ์หัวกะโหลกบิดเบี้ยวมาติดอยู่บนหัว แต่นั่นคือครั้งแรกที่ลาบูนเงียบสงบ เลิกตะโกนและพุ่งชนลูซเมาท์เทน รักษาชีวิตเอาไว้
เพื่อรอให้ถึงวันที่ ‘เพื่อน’ คนนั้นที่ไม่เคยลืม ‘สัญญา’ จะกลับมาหามันอีกครั้งอย่างแน่นอน
#วันพีซเป็นมากกว่าการ์ตูน #OnePieceDay #OnePiece23Years
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์