One Piece Film RED คือภาพยนตร์อนิเมะลำดับที่ 15 และเป็นผลงานฉลองครบรอบ 25 ปีของมังงะยอดฮิตอย่าง One Piece โดยได้ โกโร ทานิกูจิ ผู้กำกับจาก Code Geass (2006) มารับหน้าที่ถ่ายทอดการผจญภัยของกลุ่มโจรสลัดหมวกฟางในครั้งนี้ รวมถึงได้ Ado ศิลปินสาวเสียงร้องทรงพลัง มารับหน้าที่ร้องเพลงประกอบภาพยนตร์สุดไพเราะ
ภาพยนตร์ว่าด้วยเรื่องราวของกลุ่มโจรสลัดหมวกฟางที่ได้เดินทางไปยังเอเลเซีย หรือเกาะแห่งเสียงเพลง จึงนำพาให้ ลูฟี่ ได้มาพบกับ อูตะ เพื่อนสมัยเด็กที่ตอนนี้กลายเป็นนักร้องชื่อดัง จนได้รับการขนานนามว่าเป็นเจ้าหญิงแห่งเสียงเพลง แถมเธอยังเป็นลูกสาวของ แชงค์ โจรสลัดผมแดงผู้ยิ่งใหญ่อีกต่างหาก แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อความลับของอูตะถูกเปิดเผย ลูฟี่และกลุ่มโจรสลัดหมวกฟางจึงต้องเข้ามาพัวพัน (อีกแล้ว) กับเหตุการณ์วุ่นวายครั้งนี้
สำหรับแฟนๆ ที่ติดตามมังงะหรืออนิเมะ One Piece มาอย่างยาวนาน สิ่งหนึ่งที่หลายคนน่าจะรู้สึกคล้ายๆ กันคือ อาจารย์เออิจิโระ โอดะ ค่อนข้างให้ความสำคัญกับการปรากฏตัวของตัวละครสำคัญของเรื่องพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นตัวละครฝั่งโจรสลัดอย่าง 4 จักรพรรดิ หรือจะเป็น 5 ผู้เฒ่าของฝั่งรัฐบาลโลก ที่เมื่อไรก็ตามที่ตัวละครเหล่านี้ปรากฏตัว พวกเขามักจะมาพร้อมกับบทสนทนาสำคัญที่ขับเคลื่อนโลกของ One Piece ให้เราได้ติดตามเสมอ
ดังนั้นแล้วส่วนตัวผู้เขียนจึงคิดว่าการที่ภาพยนตร์เลือกหยิบหนึ่งในตัวละครที่มีบทบาทสำคัญมากที่สุดของเรื่องอย่าง แชงค์ และกลุ่มโจรสลัดผมแดง มาใช้เป็นประเด็นหลักของ One Piece Film RED ที่แม้ว่าจะไม่ได้ถูกนับเป็นเนื้อเรื่องหลักก็ตาม แต่ก็ถือเป็นโจทย์ที่ยากพอสมควรสำหรับผู้กำกับและทีมสร้าง ว่าพวกเขาจะนำเสนอเรื่องราวของผมแดงคนนี้ออกมาอย่างไรให้น่าสนใจและเหมาะสมจนไม่ไปทำลายเสน่ห์ของมังงะ
ซึ่งดูเหมือนว่าการสร้างสรรค์ตัวละครหลักอย่างอูตะ ในบทบาทของลูกสาวแชงค์ จะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะผู้กำกับและทีมสร้างค่อนข้างผูกโยงเรื่องราวและปมปัญหาระหว่างอูตะ แชงค์ และลูฟี่ ออกมาได้น่าสนใจและผลักดันให้ประเด็นของเรื่องขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างลื่นไหลและสมเหตุสมผลพอสมควร
นอกจากนี้การปรากฏตัวของแชงค์และกลุ่มโจรสลัดผมแดงก็นับว่าทำออกมาได้ค่อนข้างลงตัว ไม่ได้มากเกินไปจนเสียเสน่ห์ของฉบับมังงะ แต่ก็ไม่ได้น้อยเกินไปจนไม่น่าจดจำ โดยเฉพาะฉากแอ็กชันในช่วงสุดท้ายที่เราได้เห็นแชงค์และกลุ่มโจรสลัดผมแดงออกโรงกันอย่างพร้อมหน้า ทีมสร้างก็นำเสนอฉากดังกล่าวออกมาได้อย่างทรงพลัง ซึ่งทำให้เราตื่นเต้นและตั้งตารอการปรากฏตัวของแชงค์และกลุ่มโจรสลัดผมแดงที่จะเกิดขึ้นในภาคสุดท้ายของ One Piece มากขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่า
อีกหนึ่งจุดเด่นที่เราชื่นชอบเป็นการส่วนตัว คือกลวิธีนำเสนอของภาพยนตร์ที่มีกลิ่นอายของมิวสิคัลอยู่อย่างเต็มเปี่ยม ซึ่งนับว่าเป็นรสชาติที่แปลกใหม่สำหรับ One Piece ฉบับภาพยนตร์ทีเดียว ทั้งการสร้างฉากคอนเสิร์ตของอูตะที่ผสมผสานงานแอนิเมชัน 2D และ 3D ออกมาได้อย่างสร้างสรรค์ การเลือกใช้เพลงหลากสไตล์ให้เหมาะกับเนื้อหาในแต่ละฉาก ไปจนถึงเสียงร้องอันทรงพลังของ Ado ที่สะกดเราได้อย่างอยู่หมัด โดยเฉพาะเพลง Where the Wind Blows ในช่วงสุดท้ายของเรื่องที่ทีมสร้างนำเสนอออกมาได้อย่างน่าประทับใจ จนทำให้เราต้องกลับไปย้อนฟังเพลงนี้วนอีกหลายครั้ง
และสำหรับใครที่อยากฟังอัลบั้มเพลงประกอบภาพยนตร์ของ Ado แบบเต็มๆ ก็สามารถไปตามฟังกันได้ที่นี่เลย
รวมถึงปมปัญหาหลักของอูตะที่ต้องการใช้พลังของตัวเองเพื่อสร้างโลกในอุดมคติขึ้นมา ผู้กำกับและทีมสร้างก็สามารถนำเสนอภูมิหลังและปมปัญหาของตัวละครออกมาได้อย่างมีน้ำหนัก และชักชวนให้เราทำความเข้าใจในการกระทำของเธอได้ว่าทำไมเธอถึงตัดสินใจทำแบบนี้ แม้ว่าสิ่งที่เธอทำจะไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องก็ตาม อีกทั้งปมปัญหาดังกล่าวยังเสริมให้เราได้เห็นมิติของแชงค์ในฐานะพ่อและในฐานะกัปตันที่รักในตัวลูกเรือมากขึ้นอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผู้กำกับและทีมสร้างจะสามารถนำเสนอเรื่องราวของอูตะและแชงค์ออกมาได้น่าสนใจ แต่ One Piece Film RED ก็ยังมีจุดที่เรารู้สึกเสียดายอยู่เช่นกัน ข้อแรกคือเนื่องจากในภาคนี้ทางทีมสร้างมีการใส่ตัวละครเข้ามาเยอะพอสมควร ด้วยความคาดหวังว่าตัวละครเหล่านี้จะชวนให้เรานึกถึงเรื่องราวที่เราเคยอ่านหรือเคยได้ชม
แต่ภาพยนตร์กลับกระจายบทบาทของตัวละครแต่ละตัวออกมาไม่ลงตัวเท่าไร และมีหลายตัวละครเหมือนกันที่เรารู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องใส่เข้ามาก็ได้ มันจึงส่งผลให้ภาพยนตร์อัดแน่นไปด้วยตัวละครที่ไม่จำเป็นมากเกินไป และมีเนื้อหาที่ไม่จำเป็นต้องเล่าค่อนข้างเยอะจนทำให้เนื้อเรื่องดูยืดเยื้อไป แถมยังไปบดบังและตัดท่อนบทบาทของกลุ่มโจรสลัดหมวกฟางที่ควรจะเป็นตัวละครหลักของเรื่องอีกด้วย
ไม่เพียงเท่านั้น การใส่ตัวละครเข้ามามากเกินไปยังส่งผลกระทบไปถึงฉากแอ็กชัน ที่ส่วนตัวเราค่อนข้างคาดหวังการโชว์พลังเท่ๆ ของกลุ่มโจรสลัดหมวกฟาง (โดยเฉพาะจินเบ) แต่ผู้กำกับและทีมสร้างกลับนำเสนอฉากการต่อสู้ของกลุ่มโจรสลัดหมวกฟางออกมาได้ไม่ค่อยสมการรอคอยเท่าไรนัก โดยเฉพาะการแบ่งแอร์ไทม์ของสมาชิกแต่ละคนที่ไม่ลงตัวเท่าภาคก่อนๆ ยกเว้นเพียงฉากการร่วมมือกันระหว่างกลุ่มโจรสลัดหมวกฟางและกลุ่มโจรสลัดผมแดงในตอนสุดท้าย ที่พอจะเป็นไฮไลต์ของเรื่องให้เรารู้สึกตื่นเต้นได้อยู่บ้าง
ตัดสลับมาที่งานพากย์ไทยกันบ้าง ส่วนตัวผู้เขียนรู้สึกชื่นชอบงานพากย์ไทยของภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ยังคงรักษามาตรฐานไว้ได้ดีเช่นเดิม โดยเฉพาะ คิม-ประภัฒน์ สินธพวรกุล ผู้มารับหน้าที่พากย์เสียงเป็น โซโล ต่อจาก ไกวัล วัฒนไกร นักพากย์ผู้ล่วงลับ ซึ่งเขาก็สวมบทบาทเป็นโซโลในแบบฉบับของตัวเองออกมาได้อย่างน่าสนใจไม่แพ้ต้นฉบับ รวมถึงการตัดสินใจใช้นักพากย์กว่า 70 คน ทั้งนักพากย์รุ่นเก๋าและรุ่นใหม่ ซึ่งแม้ว่าจะมีเสียงพากย์ของตัวละครบางตัวที่เรายังรู้สึกโดดไปจากคาแรกเตอร์อยู่บ้าง แต่ในภาพรวมเราคิดว่าการตัดสินใจใช้นักพากย์ถึง 70 คน ก็เป็นการสร้างสีสันให้กับภาพยนตร์ได้ดีอีกด้วย
ในภาพรวมแล้ว One Piece Film RED เรียกว่าเป็นผลงานที่นำเสนอเรื่องราวของแชงค์และกลุ่มโจรสลัดผมแดงที่ถือเป็นตัวละครสำคัญของโลก One Piece ออกมาได้อย่างมีเสน่ห์มากๆ รวมถึงตัวละครใหม่อย่างอูตะก็มีคาแรกเตอร์ที่โดดเด่นและมีปมปัญหาที่ชวนให้ติดตาม โดยเฉพาะบทเพลงเพราะๆ ของ Ado ที่ยังคงซึมลึกอยู่ในหัวใจของเราจนถึงตอนนี้
แต่ในขณะเดียวกัน One Piece Film RED ก็เป็นผลงานที่เราคงไม่สามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำเท่าไรนักว่าสมการรอคอย เนื่องจากการใส่ตัวละครเข้ามาเยอะเกินความจำเป็น การแบ่งแอร์ไทม์ของกลุ่มโจรสลัดหมวกฟางที่ยังดูติดขัด และฉากแอ็กชันที่เราคิดว่าทีมสร้างยังนำเสนอออกมาได้ไม่น่าสนใจเท่าไรนัก
One Piece Film RED เข้าฉายอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ ในโรงภาพยนตร์
รับชมตัวอย่างฉบับพากย์ไทยได้ที่นี่
อ้างอิง: