*เปิดเผยเนื้อหาสำคัญในการ์ตูนเรื่อง One Piece
นอกจากตัวละครสุดเพี้ยน, พลังผลปีศาจเหนือจินตนาการ, การต่อสู้สุดเข้มข้น, ความฝันยิ่งใหญ่ และมิตรภาพที่ทำให้หลายคนต้องหลั่งน้ำตา ฯลฯ
เสียงหัวเราะ คืออีกหนึ่งเอกลักษณ์สำคัญในการ์ตูนเรื่อง One Piece ที่ไม่ได้ทำหน้าที่แค่สร้างความตลก แต่ยังแฝงนัยลึกซึ้ง ที่ช่วยเน้นให้การเดินทางตามหาสมบัติของกลุ่มโจรสลัดหมวกฟางเข้มข้นและมีความหมายมากยิ่งขึ้น
THE STANDARD POP รวบรวม 10 เสียงหัวเราะจากฉากประทับใจจาก 9 ตัวละคร ที่เป็นได้ทั้งตัวแทนของจุดเริ่มต้น, ความยิ่งใหญ่, ความฝัน, ความปรารถนาดี, การมีชีวิตอยู่ ไปจนถึงเสียงหัวเราะอันแสนเจ็บปวด จากเหตุผลที่ทุกคนล้วนมีไม่เหมือนกัน
1. โกล ดี. โรเจอร์ เสียงหัวเราะแห่งการเริ่มต้นยุคสมัยโจร
“สมบัติของข้ารึ ถ้าอยากได้ก็จะยกให้ ก็ลองหาดูสิ ข้าได้นำทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ไปไว้ ณ ที่แห่งนั้นแล้ว”
เสียงหัวเราะที่ไม่ยี่หระต่อสิ่งใด แม้โทษประหารและความตายมายืนกวักมือเรียกอยู่ตรงหน้าของ โกล ดี. โรเจอร์ หลังเดินทางรอบโลก พิชิตแกรนด์ไลน์ ที่ไม่เคยมีโจรสลัดกลุ่มไหนทำได้สำเร็จ
และทันทีที่ประโยคดังกล่าวที่เขาตะโกนก้องจนสุดฟ้า ต่อด้วยเสียงโห่ฮาตอบรับของ ‘นักล่าฝัน’ แห่งท้องทะเลอันกว้างใหญ่
ยุคทองของ ‘โจรสลัด’ ที่หวังพิชิตมหาสมบัติ ‘วันพีซ’ และสืบทอดตำแหน่งราชาโจรสลัดคนต่อไป ก็เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ตอนนั้น
2. แชงค์ เสียงหัวเราะของผู้ยิ่งใหญ่
ก่อนที่กัปตันกลุ่มโจรสลัดผมแดงจะเอาแขนข้างหนึ่งไป ‘เดิมพัน’ กับยุคสมัยใหม่ ด้วยการช่วยลูฟี่ไม่ให้ถูกปลากัด (ไม่ใช่!) ช่วยให้รอดพ้นชีวิตจากเจ้าแห่งท้องทะเล
แชงค์ได้สอนอีกหนึ่งบทเรียนสำคัญให้กับลูฟี่ ในช่วงที่เขาและลูกเรือกำลังสังสรรค์กันอย่างออกรส แล้วมีกลุ่มโจรภูเขามาก่อกวน ฟาดขวดเหล้าเข้าไปที่ตัวของแชงค์แบบเต็มแรง
แทนที่จะโกรธ แชงค์และเพื่อนๆ กลับระเบิดเสียงหัวเราะอย่างเริงร่า แล้วปล่อยให้เรื่องผ่านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เป็นฝ่ายเด็กน้อยลูฟี่ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ด้วยซ้ำที่โกรธแทนเป็นฟืนเป็นไป และผิดหวังเหลือเกินว่า ทำไมโจรสลัดที่เขาเคารพถึงได้อ่อนแอและไร้ศักดิ์ศรีได้ถึงเพียงนี้
แต่ในความเป็นจริงแล้ว การตอบโต้ด้วยเสียงหัวเราะที่เรียบง่ายของแชงค์ต่างหากที่แสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติของ ‘ผู้ยิ่งใหญ่’ อย่างแท้จริง เขารู้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะถือสาเอาความกับโจรกระจอก ที่ยิ่งต่อสู้ก็มีแต่จะทำให้ร้านเหล้าที่พวกเขาชื่นชอบถูกทำลายลงเท่านั้น
ใครจะทำอย่างไรกับแชงค์ก็ได้ ขอเพียงแค่อย่างเดียวคือ อย่าได้คิดทำร้าย ‘พวกพ้อง’ ของเขาเป็นอันขาด และเมื่อโจรภูเขาล้ำเส้นต้องห้ามนั้นขึ้นมาจริงๆ แชงค์และลูกเรือที่ดูภายนอกเหมือนจะไม่เอาไหน ก็แสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวและเด็ดขาดของโจรสลัดที่เดิมพันชีวิตไว้กับท้องทะเลได้ทันที
เพราะการหัวเราะได้ในช่วงเวลาที่ไม่มีประโยชน์ และโกรธเฉพาะกับเรื่องที่ไม่อาจให้อภัย นี่แหละคือหนึ่งในคุณสมบัติของ ‘ผู้ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง’
3. อุซป ผู้สร้างเสียงหัวเราะจากคำลวงที่สักวันจะกลายเป็นจริง
“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว มีโจรสลัดบุกเข้ามา หนีเร็วทุกคน!”
เสียงตะโกนลั่นหมู่บ้านที่ดังขึ้นเป็นประจำทุกเช้าของอุซป เด็กหนุ่มจมูกยาวที่มีงานอดิเรกคือ การสร้างคำโกหกที่ทุกคนมองเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ ถึงขนาดวันที่มีโจรสลัดบุกเข้ามาจริงๆ ก็ไม่มีคนเชื่อ
ยกเว้น คายะ คุณหนูผู้โชคร้าย ที่ล้มป่วยร่างกายอ่อนแอลงทันทีที่พ่อและแม่เสียชีวิต อุซปที่ต้องสูญเสียแม่และพ่อ (ออกเรือไปกับแชงค์) ไปเหมือนกัน เข้าใจความรู้สึกนี้ดีที่สุด และพยายามสรรหาเรื่องเล่าเหนือจินตนาการมาบอกให้เธอฟังในทุกๆ วันอยู่เสมอ
และไม่ว่าเรื่องเล่านั้นจะดูเกินจริงขนาดไหน แต่คายะก็ตอบรับความปรารถนาดีของอุซปด้วยการรับฟังทุกเรื่องราวด้วยความตั้งใจ ตาเป็นประกาย ส่งรอยยิ้ม และเปล่งเสียงหัวเราะกลับมาให้เขาทุกครั้ง
ถึงแม้ในวันนั้นทั้งคายะและอุซปจะรู้ว่า เรื่องเล่าทั้งหมดเป็นเพียงการโกหกเพื่อสร้างเสียงหัวเราะให้กับชีวิตอันแสนน่าเบื่อ แต่ทันทีที่อุซปตัดสินใจออกทะเล ผจญภัยไปพร้อมๆ กับลูฟี่และเพื่อนๆ คายะก็จะยังคงนั่งอยู่ที่ริมหน้าต่างบานเดิม เพื่อรอให้สักวันหนึ่ง ‘นักรบแห่งท้องทะเลผู้ห้าวหาญ’ จะกลับมาเล่าเรื่องการผจญภัยของเขาอีกครั้งว่า สิ่งที่เขาเคยพูดกับเธอไปนั้นเป็นความจริง
4. มังกี้ ดี. ลูฟี่ เสียงหัวเราะที่ไม่สะทกสะท้านต่อความตาย
ณ เมืองโลกทาวน์ ก่อนที่กลุ่มโจรสลัดหมวกฟางจะเริ่มเดินทางเข้าสู่แกรนด์ไลน์ ในขณะสมาชิกคนอื่นๆ แยกย้ายกันไปทำธุระ สิ่งเดียวที่ลูฟี่อยากไปเห็นให้ได้สักครั้งในชีวิตคือ สถานที่ประวัติศาสตร์ที่เป็นทั้งบ้านเกิดและหลุมศพของ โกล ดี. โรเจอร์
ลูฟี่ปีนขึ้นไปบนแท่นประหาร เพราะอยากเห็นทิวทัศน์แบบเดียวกับที่เจ้าแห่งโจรสลัดได้เห็นก่อนตาย และเขาก็ได้เห็นภาพนั้นสมใจ แต่ก็แลกมากับการที่เขาต้องถูกจับโดยกลุ่มโจรสลัดตัวตลก ศัตรูเก่าที่จัดท่าทางของลูฟี่พร้อมประหารในท่าเดียวกับที่โรเจอร์เคยโดนแบบเป๊ะๆ
ไม่ใช่แค่ท่าทางเท่านั้นที่เหมือนกัน เพราะแม้จะรู้ว่า นี่คือวินาทีสุดท้ายของชีวิต เขาก็ไม่ได้ร้องไห้ ฟูมฟาย เสียดายชีวิตอันแสนสั้น สิ่งที่เขาทำมีแค่ยืนยันประโยคที่เขายึดมั่นมาตลอดชีวิตว่า “ฉันคือผู้ที่จะเป็นเจ้าแห่งโจรสลัด!”
ก่อนที่จะฉีกยิ้มและส่งเสียงหัวเราะ ราวกับความตายนั้นเป็นเพียงเรื่องเล่าที่แสนตลก และกล่าวคำลาสั้นๆ กับเพื่อนพ้องว่า “โทษทีนะ ฉันคงไม่รอดแน่” และอยู่ๆ พายุก็โหมกระหน่ำ และฟ้าผ่าลงมากลางลานประหาร เพราะตัวเป็นยาง ลูฟี่เลยรอดชีวิตได้อย่างปาฏิหาริย์ ชนิดที่ถ้าไม่ใช่เพราะ ‘สกิลพระเอก’ แบบที่หลายคนว่าเอาไว้ เสียงหัวเราะในสถานการณ์คอขาดบาดตายครั้งนั้น อาจเป็นการส่งสัญญาณอยู่กลายๆ ว่า ลูฟี่นี่แหละคือว่าที่เจ้าแห่งโจรสลัดคนต่อไป
5. โบรกี้ยักษ์แดง เสียงหัวเราะจากชัยชนะอันแสนขื่นขม
ดอร์รียักษ์เขียวและโบรกี้ยักษ์แดง คืออดีตกัปตันกลุ่มโจรสลัดคนยักษ์ที่ออกอาละวาดไปทั่วท้องทะเลเมื่อ 100 ปีก่อน แต่ตัดสินใจยุติการเดินทางเพียงเพราะหาบทสรุปไม่ได้ว่า สัตว์ที่ล่ามาได้นั้น ของใครมีขนาดใหญ่กว่า
เลยต้องตัดสินหาผู้ชนะด้วยการ ‘ประลอง’ ที่ไม่เคยมีคนชนะมาตลอด 73,466 บนเกาะ ‘ลิตเติลการ์เดน’ ที่สิ่งมีชีวิตทุกอย่างมีขนาดใหญ่โตผิดปกติ แต่ก็ไม่มีสิ่งใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่า ‘เกียรติยศและศักดิ์ศรี’ ที่พวกเขายึดมั่นและรักษาเอาไว้
กระทั่งการต่อสู้ครั้งที่ 73,467 โบรกี้ฝากรอยด้ามขวานเป็นทางยาว พร้อมเลือดของดอร์รีที่สาดกระเซ็นเป็นสาย คว้า ‘ชัยชนะ’ ครั้งแรกที่มาพร้อมกับ ‘เสียงหัวเราะ’ และ ‘น้ำตา’ ที่ไม่สามารถกลั้นไว้ได้อยู่
เมื่อการประลองจบลง มิสเตอร์ทรีเฉลยความจริงว่า เขาวางระเบิดเอาไว้ในถังเหล้าของดอร์รีจนอวัยวะภายในเสียหาย และกล่าวเย้ยหยันโบรกี้ว่า ชัยชนะที่ได้รับมานั้น หาใช่สิ่งที่น่าภูมิใจ
แต่ในความเป็นจริง โบรกี้สัมผัสได้มาตั้งแต่ต้นว่า มีบางอย่างผิดปกติ ในใจเขาอยากเลื่อนการต่อสู้ออกไปก่อน เพียงแต่เมื่อเห็นดอร์รีถืออาวุธ พร้อมสู้โดยไร้ข้ออ้างใดๆ สิ่งที่เขาพอจะทำได้ก็มีเพียงแค่การต่อสู้ให้สุดกำลัง เพื่อตอบรับศักดิ์ศรีแห่งนักรบของเพื่อนรักคนนี้เท่านั้นเอง
น้ำตาที่ไหลออกมาพร้อมกับเสียงหัวเราะอันสั่นเครือของโบรกี้เลยกลายเป็นเสียงหัวเราะแห่งชัยชนะที่ขื่นขมและน่าเศร้าที่สุด เพียงเพราะ ‘มนุษย์’ ตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่ทำให้การต่อสู้ 2 ยักษ์ผู้ยิ่งใหญ่ ที่มีวิญญาณนักรบบริสุทธิ์ต้องแปดเปื้อน
6. ด็อกเตอร์ฮิลรุก เสียงหัวเราะแห่งความปรารถนาดี
ถ้าวัดกันที่ฝีมือและความรู้ทางการแพทย์ ด็อกเตอร์ฮิลรุกคือหมอกำมะลอผู้ศรัทธาในสัญลักษณ์หัวกะโหลกที่ไม่ควรมีใครฝากชีวิต แต่ถ้าวัดกันที่ ‘หัวใจ’ แห่งความปรารถนาดีที่มีให้กับคนไข้ เขามีหัวใจที่จริงแท้กว่าใครบนโลกใบนี้
เขามีความเชื่อที่ว่า เกิดเป็นหมอต้องรักษาคน ทุกคนมีสิทธิ์หายจากอาการป่วย กระทั่งกวางเรนเดียร์ที่ถูกขับไล่ออกจากฝูง เพราะมีจมูกสีน้ำเงิน แถมยังแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ ก็ไม่มีข้อยกเว้น
หมอกำมะลอคนนี้ไม่เคยมองคนไข้ด้วยสายตาประหลาด แถมยังมอบหมวกและตั้งชื่อให้เรนเดียร์ตัวน้อยว่า โทนี่โทนี่ ช็อปเปอร์ รวมทั้งสอนเทคนิคทางการแพทย์ (ที่ไม่ค่อยได้ผลเท่าไร) ให้แบบไม่มีหวงวิชา
ฮิลรุกยังตั้งหน้าตั้งตารักษาและทดลองครั้งใหญ่ที่จะมอบ ‘ความสุข’ ให้กับคนทั้งอาณาจักรต่อไป จนกระทั่งอาการป่วยเรื้อรังที่รักษาไม่หายของเขากำเริบ และล่วงรู้ไปถึงลูกศิษย์ตัวน้อยขึ้นมา
ช็อปเปอร์พยายามเปิดตำราจนเจอเห็ดที่มี ‘หัวกะโหลก’ กำกับอยู่ แต่เขาจำได้ว่า ฮิลรุกบอกว่า ศรัทธาในสิ่งนี้ กวางน้อยผู้ไร้เดียงสาเสี่ยงชีวิตออกตามหาเห็ดวิเศษนี้มามอบให้ฮิลรุกได้สำเร็จ
แม้จะเป็นหมอกำมะลอ แต่เขาก็รู้ทันทีว่า นี่คือเห็ดพิษ แทนที่จะปฏิเสธ ฮิลรุกเอ่ยปากชมช็อปเปอร์ และยอมกินเห็ดพิษนั้นด้วยความเต็มใจ พร้อมกับยืนยันว่า ลูกรักคนนี้จะต้องเป็นหมอที่เก่งกาจได้อย่างแน่นอน
เขายอมแลกชีวิตของตัวเอง เพื่อรักษาหัวใจอันแสนบริสุทธิ์ของช็อปเปอร์ไม่ให้เจ็บปวด เสียงหัวเราะที่เขามอบให้กับลูกรักในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต คือเสียงหัวเราะแห่งความปรารถนาที่จริงแท้ของหมอกำมะลอที่มีความฝัน อยากให้ทุกคนบนโลกนี้มีความสุข
7. นิโค โรบิน เสียงหัวเราะแห่งการมีชีวิตอยู่ เดเลชี เดเลชี
“ฉันอยากจะมีชีวิตต่อไป ช่วยพาฉันออกทะเลไปด้วยนะ”
ก่อนที่ นิโค โรบิน จะกล้าเปิดเผยความในใจว่า แท้จริงแล้วคนที่เคยถูกมองว่าเป็น ‘ปีศาจ’ อย่างเธอเอง ก็อยากมีชีวิตอยู่ และกลายเป็นอีกหนึ่งฉากที่ทรงพลังที่สุดในเรื่อง One Piece
ในวัยเด็ก นิโค โรบิน ได้เป็นเพื่อนกับเซาโร คนยักษ์ที่พลัดหลงมาติดอยู่บนเกาะโอฮารา มาพร้อมกับเสียงหัวเราะประหลาด ‘เดเลชี เดเลชี’ ที่เขาคอยบอกเด็กสาวอมทุกข์คนนี้อยู่เสมอว่า ขอเพียงแค่หัวเราะออกมา แล้วความทุกข์ทุกอย่างจะเบาบางลง
แม้กระทั่งในช่วงเวลาสิ้นหวังที่สุดในชีวิต เมื่อทุกคนบนเกาะของ นิโค โรบิน ถูกสังหารตามคำสั่ง ‘บัสเตอร์คอล’ รวมทั้งตัวเซาโรก็ไม่อาจมีชีวิตรอดต่อไป
ระหว่างที่ นิโค โรบิน ต้องล่องเรือออกไปตามลำพัง โดยไม่รู้ว่าจะไปขึ้นฝั่งที่ไหน เด็กน้อยอายุ 8 ขวบ จะทำอะไรได้มากไปกว่าเค้นเสียงหัวเราะ “เดเลชี เดเลชี” ออกมาให้ได้ที่สุด
แม้ในท้องทะเลกว้างใหญ่จะไม่มีใครได้ยิน แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เธอมีพลังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป จนกว่าจะพบ ‘พวกพ้อง’ ที่เธอฝากชีวิตไว้ได้ในอนาคต
8. มาร์แชล ดี. ทีช เสียงหัวเราะของความเชื่อมั่นในความฝัน
“ความฝันของคนเรามันไม่มีวันจบลงหรอก”
คำพูดทรงพลังที่ตะโกนออกมาพร้อมเสียงหัวเราะดังลั่นในท่านั่งขัดสมาธิ จนเราแทบไม่อยากเชื่อว่า ออกมาจากปากของ มาร์แชล ดี. ทีช หรือหนวดดำ ตัวร้ายที่อาจกลายเป็น ‘ลาสต์บอส’ ที่กลุ่มโจรสลัดหมวกฟางต้องเผชิญ
แม้จะถูกหลายคนเกลียดขี้หน้า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า หนวดดำคือตัวละครที่มีลักษณะใกล้เคียงกับคำว่า ‘โจรสลัด’ มากที่สุดในเรื่อง ทั้งความเจ้าเล่ห์ เด็ดขาด พร้อมที่จะทำทุกอย่าง เพื่อเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ของตัวเอง
แถมหนวดดำยังมีคุณสมบัติเชื่อมั่นในความฝันที่กลายเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจมากๆ ในเรื่อง One Piece ว่า ภายใต้พลังความมืดในตัวร้ายที่ทรงพลังและลึกลับที่สุดคนนี้ จะมี ‘ความฝัน’ แบบไหนซุกซ่อนอยู่กันแน่
9. ชาวเมืองเอบิสึ หัวเราะเพราะไม่อาจร้องไห้
ในช่วงแรกที่เห็นชาวเอบิสึสามารถเปล่งเสียงหัวเราะออกมาได้ในทุกเรื่อง ทุกสถานการณ์ (จนทำให้คนอย่างโซโรหงุดหงิด) ทั้งที่บ้านเมืองเต็มไปด้วยความอดอยาก แร้นแค้น
แม้จะดูเต็มไปด้วยความผิดปกติ แต่ก็ทำให้เราเผลอคิดขึ้นมาช่วงหนึ่งได้ว่า พลังแห่งเสียงหัวเราะนั้นยิ่งใหญ่ และผู้คนในเมืองนี้ช่างมองโลกในแง่ดีเสียจริง
กระทั่งความจริงอันแสนโหดร้ายถูกเปิดเผยในภายหลังว่า เบื้องหลังของเสียงหัวเราะเหล่านั้นเป็นผลกระทบจากการที่ชาวเมืองเอบิสึถูกบังคับให้กินผลไม้ปีศาจเทียม Smile จนสูญเสียความสามารถในการแสดงอารมณ์โกรธและโศกเศร้า สิ่งที่พวกเขาทำได้มีเพียงอย่างเดียวคือ การ ‘หัวเราะ’ ออกมาเท่านั้น
นี่คือหนึ่งใน ‘กลยุทธการปกครอง’ ที่เหี้ยมโหดและเฉียบขาดของไคโด หนึ่งในสี่จักรพรรดิ และโอโรจิ โชกุนผู้แสนชั่วร้าย ที่ไม่เพียงใช้ ‘อำนาจ’ ปกครองผู้คนด้วยความหวาดกลัว แต่ยังริบ ‘สิทธิ์’ ในการแสดงออกความรู้สึก และสร้างภาพลวงที่ว่า ความกลัวเป็นสิ่งไร้สาระ ขึ้นมา
บ้านเมืองจะลำบากได้อย่างไร ในเมื่อผู้คนยังสามารถหัวเราะให้กับทุกๆ เรื่องได้อย่างนี้
กระทั่งเรื่องดำเนินไปขึ้นช่วงที่โตโนะยาสึ อดีตโชกุนที่ถูกขับไล่ และพยายามช่วยเหลือชาวเมืองอยู่เบื้องหลัง ถูกจับและกำลังจะถูกประหารชีวิต
ในวันที่ชาวเมืองควรรู้สึกเศร้าเสียใจมากที่สุด เพราะทำได้เพียงยืนมองผู้มีพระคุณจากไปโดยไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากการ ‘หัวเราะ’ พร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไม่สามารถกลั้นเอาไว้ได้
กลายเป็นเสียงหัวเราะอันแสนเศร้า ที่แสดงให้เห็นว่า สิ่งที่เจ็บปวดมากที่สุดก็คือ การที่มนุษย์ไม่สามารถร้องไห้ได้เมื่อรู้สึกเสียใจ และไม่สามารถแสดงความรู้สึกจริงแท้ที่อยู่ในหัวใจออกมาได้เลย
10. โกล ดี. โรเจอร์ เสียงหัวเราะเมื่อรับรู้ความจริงที่หายไป
จอยบอยคือใคร, ตระกูล ‘ดี’ มีความสำคัญอย่างไรในประวัติศาสตร์, รัฐบาลโลกหวาดกลัวและปกปิดสิ่งใดเอาไว้ในเบื้องหลังช่วงเวลา 100 ปีที่หายไป และมหาสมบัติวันพีซที่หลายคนยอมแลกชีวิตเพื่อตามหาคืออะไรกันแน่ ฯลฯ คำตอบของทั้งหมด รอเหล่านักผจญภัยแห่งท้องทะเล อยู่ ณ เกาะสุดท้ายปลายทางแห่งความฝัน
โกล ดี. โรเจอร์ และลูกเรือ เป็นเพียงคนกลุ่มเดียว (ที่ไม่ใช่คนของรัฐบาลโลก) หลังจากเดินทางไปถึงเกาะสุดท้าย และล่วงรู้ ‘ความจริง’ ที่ถูกทำให้หายไปตลอดระยะเวลา 800 ปี ที่ทำให้เขากลายเป็นราชาโจรสลัดและอาชญากรต้องโทษประหารชีวิต
ณ วันที่ล่วงรู้ความจริงทุกอย่าง โรเจอร์และพวกพ้องได้เปล่งเสียงหัวเราะกันออกมาอย่างสุดชีวิต พร้อมกับตั้งชื่อดินแดนแห่งความลับนั้นว่า ‘ลาฟเทล’
ดินแดนที่ซุกซ่อน ‘ความจริง’ บางอย่าง ที่ทำให้คนที่ไปถึงทำได้เพียง ‘หัวเราะ’ ออกมาได้เท่านั้น
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล