วันนี้ (19 สิงหาคม) นิยม เติมศรีสุข เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) เปิดเผยว่า การลักลอบผลิตไอซ์ในสามเหลี่ยมทองคำมีปริมาณเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีการลักลอบลำเลียงออกจากแหล่งผลิต เพื่อกระจายไปยังแหล่งแพร่ระบาดในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะนอกอนุภูมิภาคเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ เกิดจากการที่ขบวนการผลิตสามารถจัดหาสารตั้งต้น / เคมีภัณฑ์ ป้อนเข้าแหล่งผลิตได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้มีการลักลอบลำเลียงไอซ์จากแหล่งผลิตในสามเหลี่ยมทองคำผ่านประเทศสมาชิกในลุ่มแม่น้ำโขงเพื่อส่งต่อไปยังประเทศที่สามมีเพิ่มขึ้นมากทั้งความถี่และปริมาณ โดยเฉพาะในช่วงหลังที่มีการคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ซึ่งตลอด 10 เดือน 6 ประเทศสมาชิกภายใต้แผนปฏิบัติการร่วมสามเหลี่ยมทองคำยึดไอซ์ได้รวม 32.78 ตัน
นิยมกล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมาพบการลักลอบลำเลียงไอซ์จากแหล่งผลิตในสามเหลี่ยมทองคำกระจายในประเทศลุ่มแม่น้ำโขงมากขึ้น โดยเฉพาะหลังการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 เห็นได้จากสถิติการจับยึดที่สูงขึ้นต่อเนื่องในหลายประเทศ สำหรับในไทย จากการติดตามข้อมูลของศูนย์ปฏิบัติการสำนักงาน ป.ป.ส. (ศปก.ป.ป.ส.) พบว่า ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2562 ถึงปัจจุบัน ทั่วประเทศสามารถจับยึดไอซ์รวม 19.86 ตัน ในจำนวนดังกล่าวเป็นการจับยึดต่อครั้งที่มีปริมาณ 100 กิโลกรัมขึ้นไป รวม 38 ครั้ง แต่มีปริมาณไอซ์รวมถึง 17.42 ตัน หรือร้อยละ 87.7 ของไอซ์ที่จับยึดได้ทั่วประเทศ
อย่างไรก็ตาม จากการขยายผลการสืบสวนและด้านการข่าวหลังการจับยึด พบข้อมูลที่เชื่อได้ว่ามีไม่น้อยกว่า 28 ครั้ง รวมไอซ์ 16.10 ตัน ที่การลักลอบลำเลียงมีจุดหมายปลายทางไปประเทศที่สาม ทำให้สรุปได้ว่า ไอซ์ส่วนใหญ่ที่จับยึดได้นั้นไม่ได้ถูกกระจายอยู่ในประเทศ แต่ถึงกระนั้นก็ยังต้องมีการเฝ้าระวังกันอย่างใกล้ชิด เพราะเมื่อมีการลักลอบลำเลียงเข้ามามาก ก็ย่อมมีส่วนที่ถูกแบ่งมากระจายภายในประเทศเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้นิยมกล่าวอีกด้วยว่า มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ผ่านมาของแต่ละประเทศ โดยเฉพาะการห้ามข้ามแดน มีผลต่อการลักลอบลำเลียงตามแนวชายแดนโดยตรง ทำให้ไอซ์ปริมาณมากต้องถูกพักเก็บ ไม่สามารถส่งออกไปยังประเทศที่เป็นตลาดปลายทางได้ เมื่อมีการผ่อนคลายมาตรการ ขบวนการค้ายาเสพติด จึงเร่งระบายไอซ์ออกจากที่พักเก็บและกระจายไปทุกทิศทางผ่านประเทศลุ่มแม่น้ำโขง เพื่อส่งต่อไปยังประเทศที่สาม เห็นได้จากช่วงที่ผ่านมาทุกประเทศจับยึดไอซ์ได้เป็นจำนวนมาก คือ เมียนมายึดไอซ์ได้กว่า 7.4 ตัน ลาว 3.54 ตัน เวียดนาม 896 กิโลกรัม จีน 581.3 กิโลกรัม และกัมพูชา 506.4 กิโลกรัม ซึ่งส่วนใหญ่จะถูกลำเลียงออกต่อไปยังประเทศแถบเอเชียตะวันออกและโอเชียเนีย สอดคล้องกับรายงานของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Office on Drugs and Crime: UNODC) ที่ระบุว่า สถานการณ์ปัญหาไอซ์ในกลุ่มประเทศดังกล่าวมีความรุนแรงเพิ่มขึ้น
“รัฐบาลโดย พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ สมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานบูรณาการกำลังและทรัพยากรเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติด ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง และจากสถานการณ์ปัญหาการขยายตัวอย่างรุนแรงของปัญหาไอซ์ในภูมิภาค สำนักงาน ป.ป.ส. และหน่วยงานภาคี ได้ประสานงานกับ UNODC และนานาประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อแก้ไขปัญหาร่วมกัน ผ่านกลไกความร่วมมือต่างๆ ในภูมิภาค ได้แก่ ป.ป.ส. อาเซียน แผนแม่น้ำโขงปลอดภัย และแผนปฏิบัติการร่วมสามเหลี่ยมทองคำ 1511 ตลอดจนได้เน้นย้ำให้มีการบูรณาการด้านการข่าวสกัดกั้นทั้งสารตั้งต้น / เคมีภัณฑ์ และยาเสพติด เพื่อลดทอนศักยภาพของขบวนการค้า และไม่ให้ยาเสพติดส่งผลกระทบต่อสังคม” นิยมกล่าว
นิยมกล่าวอีกว่า การแพร่ระบาดของยาเสพติดในประเทศจะลดลงได้ ต้องให้ความสำคัญกับลดความต้องการยาเสพติด โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชน จึงขอให้ทุกฝ่ายช่วยกันรณรงค์ ป้องกัน และสร้างภูมิคุ้มกัน เพื่อไม่ให้เกิดผู้ใช้ยาเสพติดหน้าใหม่ และขอให้พี่น้องประชาชนเชื่อมั่นในการแก้ไขปัญหายาเสพติดของรัฐบาล ทั้งนี้ ประชาชนสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหายาเสพติดได้ หากพบผู้มีพฤติการณ์เกี่ยวกับยาเสพติด แจ้งเบาะแสได้ที่สายด่วน ป.ป.ส. โทร. 1386 ตลอด 24 ชั่วโมง
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล