เวลา 3 นาที เราทำอะไรกันได้บ้างนะ?
แน่นอนละเราน่าจะทำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปได้พอดีในช่วงเวลานั้น และเป็นเวลาที่เท่ากับยอดมนุษย์อุลตร้าแมนจะต้องพยายามจัดการสัตว์ประหลาดต่างดาวให้เสร็จเรียบร้อยก่อนที่พลังจะหมดลง
แต่ถ้าบอกว่ามีคนสามารถผลิตรองเท้าวิ่งดีๆ สักคู่ภายในระยะเวลา 3 นาที คุณจะเชื่อไหม?
เรื่องที่ดูเหมือนการโม้เล่นๆ ของโนบิตะนี้เป็นเรื่องจริงไปแล้ว เพราะ On แบรนด์รองเท้าที่มาแรงที่สุดของยุคสมัย คิดค้นนวัตกรรมที่สามารถผลิตรองเท้าวิ่งขึ้นได้เหมือนเสกด้วยระยะเวลาเพียงแค่ 3 นาทีเท่านั้น
นวัตกรรมนี้คืออะไร และมันจะมีความหมายอย่างไรต่ออุตสาหกรรมรองเท้าวิ่ง รวมถึงสุขภาพของโลกใบนี้?
On แบรนด์กีฬาจากสวิตเซอร์แลนด์ เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ถูกจับตามองอย่างมากในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ด้วยเทคโนโลยีการออกแบบที่ล้ำหน้า อีกทั้งมีความสวยงามจนทำให้กลายเป็นรองเท้าที่ได้รับการบอกเล่าแบบปากต่อปาก และกลายเป็นรองเท้าที่ไม่ว่าจะเป็นนักวิ่งหรือกลุ่มคนทั่วไปอยากได้มาลองใส่ดูสักครั้ง
ใส่แล้วเหมือนได้เดินบนเมฆคือสิ่งที่พูดกันถึงรองเท้าคอลเล็กชัน Cloud ของ On ที่ใส่แล้วดูเท่แบบแตกต่างจากรองเท้าของแบรนด์คู่แข่งอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด
แต่ On ไม่คิดที่จะหยุดเพียงแค่นี้ ในช่วงต้นปี 2024 พวกเข่คิดค้นรองเท้าใหม่ที่ความจริงแล้วเราควรจะเรียกว่าเป็น ‘สิ่งประดิษฐ์’ มากกว่าด้วยซ้ำไป
ความสนุกของเรื่องนี้ก็คือรองเท้าที่ว่านี้ไม่ได้เกิดจากไอเดียของทีมนักออกแบบมืออาชีพ แต่เป็นไอเดียที่ได้จากของเล่นที่ได้แรงบันดาลใจจากสไปเดอร์แมน ซูเปอร์ฮีโร่ขวัญใจผู้คนทั่วโลก
โดยคนที่ชื่อโยฮันเนส
ว่าแต่…ใครคือโยฮันเนส?
เรื่องราวทั้งหมดต้องย้อนกลับไปไกลนิดหนึ่งถึงปี 2019 เมื่อหนึ่งในทีมพัฒนาของ On ไปเดินชมงาน Milan Design Week ในเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี และค้นพบผลงานชิ้นหนึ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
ผลงานดังกล่าวเป็นการทดลองใช้เครื่องยิงกาวร้อนแบบสเปรย์สร้างเป็นผลงานออกมา ซึ่งเครื่องนี้เป็นสิ่งประดิษฐ์ของ โยฮันเนส โวลเชิร์ต (Johannes Voelchert) นักประดิษฐ์ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากของเล่นที่เขาเห็นในวันฮาโลวีน ซึ่งคล้ายกับเครื่องยิงใยแมงมุมของสไปเดอร์แมน ซูเปอร์ฮีโร่จอมกู้โลก
“ผมเห็นของเล่นนี้และคิดว่ามันน่าจะเป็นทางที่รวดเร็วสำหรับการสร้างสิ่งทอในรูปแบบที่ซับซ้อน” โยฮันเนสเล่าเรื่องราวของสิ่งประดิษฐ์นี้ให้ฟังอีกครั้ง
ความบังเอิญของโชคชะตาคือสิ่งที่โยฮันเนสทำจากสิ่งประดิษฐ์เครื่องยิงใยโดยใช้วัสดุชนิดเดียวสร้างเป็นรูปทรงออกมาคือรองเท้าพอดี และนั่นทำให้เขาได้รับการทาบทามให้เข้าร่วมโปรเจกต์ลับของ On ทันที ทั้งๆ ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในวงการนี้มาก่อนก็ตาม
การปฏิวัติสู่อนาคต
การที่โยฮันเนสได้รับข้อเสนอให้เข้าร่วมโครงการนี้เป็นเพราะทีมพัฒนาของ On มองเห็นศักยภาพและโอกาสของนวัตกรรมนี้ ที่ไม่ใช่เป็นเพียงแค่เครื่องมือในการช่วยสร้างรองเท้าได้
แต่นี่คือการปฏิวัติวงการ (Revolutionary) อย่างแท้จริง
ย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ การผลิตรองเท้าคู่หนึ่งนั้นใช้การตัดเย็บด้วยมือของมนุษย์มาตลอด รองเท้าหนึ่งคู่อาจจะต้องผ่านมือคนงานมากถึง 200 คน โดยเพิ่งจะเริ่มมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการช่วยผลิตได้ไม่นาน
เทคโนโลยีล่าสุดในเรื่องของการผลิตรองเท้าก็คือการพัฒนารองเท้าวิ่งในแบบ Super Shoes ที่เราเห็นกันในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลผลิตที่เก็บเกี่ยวจากความก้าวหน้าในการทดลองเมื่อ 10-15 ปีที่แล้ว
แต่เครื่องยิงใยของโยฮันเนสจะเป็นสิ่งที่ทำให้ On ก้าวล้ำนำหน้าคู่แข่งไปอีกขั้น เพียงแต่ในการจะเปลี่ยนจินตนาการให้เป็นเรื่องจริงได้นั้นต้องมีคนมาช่วยโยฮันเนสด้วย
สัญญาณการรวมพลกันแบบลับๆ ของฝ่ายต่างๆ ในบริษัท On นำไปสู่การสาธิตให้เห็นถึงกระบวนการสร้างรองเท้าจากเครื่องมือมหัศจรรย์ ที่ทำให้ทุกคนในวันนั้นตาลุกวาวพร้อมกับเกิดไอเดียบรรเจิดและความเป็นไปได้ที่ไม่รู้จบขึ้นมา
โดยโยฮันเนสซึ่งเป็นผู้พรีเซนต์ในวันนั้นบอกกับทุกคนด้วยสไลด์หน้าสุดท้ายที่เป็นรูปเครื่องยิงใยของเขาที่ต่อเข้ากับแขนของหุ่นยนต์
“นี่แหละคืออนาคต”
แล้วโครงการนี้จึงเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ก้อนเมฆที่ทำจากสเปรย์
โยฮันเนสเริ่มโปรเจกต์นี้ในฐานะ Intern หรือเด็กฝึกงาน และทำงานคนเดียวในพื้นที่ที่ On จัดห้องทดลองให้เขาโดยเฉพาะ โดยเริ่มจากการออกแบบหุ่นยนต์ที่จะใช้ผลิตรองเท้าด้วยเครื่องมือพิเศษแบบของเขา
แต่หลังจากที่ลุยไปได้ปีเศษ ทีมของโปรเจกต์ลับนี้ก็ขยายตัวขึ้น มีดีไซเนอร์, วิศวกร, ผู้เชี่ยวชาญด้านโมเดล 3 มิติ, ผู้เชี่ยวชาญด้านหุ่นยนต์ ที่มารวมตัวกัน ซึ่งความพิเศษคือทีมที่มีขนาด 20 คน มีเพียงแค่ 3 คนเท่านั้นที่เคยมีประสบการณ์ในการทำรองเท้าจริงๆ
กลายเป็น The Avengers ในแบบของ On ขึ้นมา
อย่างไรก็ดี โครงการนี้เป็นความท้าทายไม่น้อยสำหรับทุกฝ่าย เพราะพวกเขากำลังทำในสิ่งที่ไม่ใช่แค่พวกเขาไม่เคยทำมาก่อน แต่ไม่เคยมีใครที่ทำสำเร็จมาก่อน ในการสร้างรองเท้าด้วยเครื่องยิงเส้นใยออกมาเป็นสิ่งทอที่มีความสลับซับซ้อน ซึ่งเป็นเรื่องที่แตกต่างจากความเชื่อของการทำรองเท้าตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
เครื่องมือจะขึ้นแบบให้เป็นทรงรองเท้าที่ดีพอได้อย่างไร วัสดุแบบไหนที่จะเหมาะสม ไหนจะหน้าตาของมันอีก คำถามมากมายเต็มไปหมด
มันมีโอกาสที่จะล้มเหลวได้ไม่น้อยไปกว่าโอกาสที่จะประสบความสำเร็จ
แต่ในที่สุดความพยายามของโยฮันเนสและทีมก็ทำให้ทุกคนได้รางวัลที่ยิ่งใหญ่ กับรองเท้ารุ่น Cloudboom Strike LS รองเท้าวิ่งที่สร้างจากวัสดุโพลีเมอร์ที่ถูกยิงเป็นเส้นใยออกมาลงบนแม่พิมพ์รูปเท้า โดยวัสดุนี้ทำให้ได้อัปเปอร์รองเท้าที่มีน้ำหนักเบาและสวมใส่นุ่มสบายเหมือนแค่ใส่ถุงเท้าที่ยึดกับพื้นรองเท้าด้วยการใช้เทคนิคอบกาวร้อน ซึ่งเป็นสูตรที่ลงตัวที่สุดหลังจากการทดลองมานับร้อยวิธี
นี่คือเทคโนโลยีใหม่ LightSpray จาก On นวัตกรรมที่พวกเขาเชื่อว่าจะเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของการผลิตรองเท้าของโลกได้
เส้นบางๆ ระหว่างความสำเร็จกับความล้มเหลว
แต่ On จะทำให้โลกเชื่อได้ว่านี่คือรองเท้าเปลี่ยนโลกจริงๆ ก็ต้องทดสอบการใช้งานจริงๆก่อน
การทดสอบนั้นไม่ใช่การทดสอบในห้องแล็บหรือสวนสาธารณะอีกแล้ว แม้ว่าเหล่านักวิ่งที่ได้โอกาสมาทดลองสวมใส่รองเท้านี้จะตื่นเต้นกับมันมากก็ตาม แต่ต้องเป็นการทดสอบด้วยนักวิ่งระดับ Elite ที่จะใส่รองเท้าใหม่นี้ในการแข่งขันจริงๆเลย
“พวกเราพร้อมไหม?” คือคำถามถึงทุกคนที่รับผิดชอบรองเท้ารุ่นใหม่นี้ของ On
มันอาจจะสำเร็จก็ได้ หรือมันอาจจะทำให้ทุกอย่างที่ทำมาพังหมดเลยก็ได้
แต่แน่นอนคำตอบที่ได้จากทุกคนตอนนั้นคือ “พร้อม”
คนที่ได้รับเกียรติให้ทดสอบรองเท้าที่สร้างจากเทคโนโลยี LightSpray คือ เฮลเลน โอบิรี (Hellen Obiri) นักวิ่งสาวชาวเคนยาที่สวมใส่ลงแข่งขันในรายการบอสตันมาราธอน ที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นหนึ่งในรายการเมเจอร์ของโลก
โดยที่ว่ากันตามความรู้สึกจริงๆ โอบิรีสารภาพว่าเธอรู้สึกไม่เชื่อมั่นในรองเท้าที่ได้รับให้มาทดสอบคู่นี้เลย
ผลปรากฏว่าโอบิรีไม่เพียงแต่จะคว้าแชมป์รายการนี้ได้เท่านั้น เธอยังทำลายสถิติดีที่สุดของเธอเอง (Personal Best) ด้วย
ขณะที่เหล่าแฟนๆ ที่ติดตามชมการแข่งขันจากทั่วโลกต่างอยากรู้ว่ารองเท้าหน้าตาแปลกๆ ที่โอบิรีใส่นั้นคือรองเท้าอะไร
ทุกคนอยากจะใส่รองเท้าคู่นี้เหมือนกัน!
สู่ Game Changer ที่แท้ทรู
ถึงจะสามารถ ‘เสก’ รองเท้าที่ทำจากเทคโนโลยี LightSpray ได้สำเร็จ แต่สำหรับโยฮันเนสและ On แล้วมันเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
ไม่ใช่เพราะ adidas และ Nike ต่างก็คิดค้นรองเท้าที่สร้างจากเทคโนโลยีในการพิมพ์ 3 มิติเหมือนกัน แต่เป็นเพราะพวกเขายังรู้สึกว่ามีความท้าทายใหญ่ในขั้นต่อไปสำหรับเทคโนโลยีเปลี่ยนโลกนี้
อย่างแรกคือการทำให้กระบวนการต่างๆ มีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้นไปอีก โยฮันเนส – ซึ่งปัจจุบันเป็น Senior director of innovation ของ On – คาดหวังว่าจากที่ใช้เวลา 3 นาทีในการผลิตรองเท้าด้วย LightSpray สักคู่ ก็อยากจะลดเวลาลงให้ได้เหลือแค่ 2 นาทีเท่านั้น
ขณะที่ทีมออกแบบเองก็หวังว่าจะสามารถใช้เทคโนโลยีนี้ผลิตรองเท้าที่สมบูรณ์ได้ในขั้นตอนเดียว ซึ่งรวมถึงการทำพื้นรองเท้าที่ไม่ต้องมายัดใส่ในภายหลังด้วย และแน่นอนว่าเทคโนโลยีนี้จะเปลี่ยนไลน์การผลิตรองเท้าในโรงงาน รวมถึงการลดการสร้างมลภาวะให้แก่โลกได้อีกด้วย
แต่โจทย์ที่ยากกว่าอีกขั้นคือการทำอย่างไรก็ได้ให้เทคโนโลยีนี้มีราคาที่ถูกลงจนคนในวงกว้างสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น เพราะตอนนี้รองเท้า Cloudboom Strike LS มีสนนราคาที่สูงถึง 330 ดอลลาร์ (11,800 บาท) ซึ่งเป็นสนนราคาที่สูงเทียบเท่ากับรองเท้า Super Shoe ของ Nike และ adidas
“มันยังเป็น Game Changer ของวงการไม่ได้หรอกจนกว่าที่จะทำให้ทุกคนสามารถซื้อหาได้” เป็นความเห็นจาก แมตต์ พาวเวลล์ ที่ปรึกษาด้านผลิตภัณฑ์รองเท้าจาก Spurwink River ที่ตั้งคำถามถึงราคาของ Cloudboom Stike LS
เรื่องพวกนี้ไม่ง่าย แต่เมื่อเทียบกับวันเริ่มต้นของเรื่องนี้ที่เมืองมิลาน กับไอเดียของเด็กหนุ่มที่ได้แรงบันดาลใจจากของเล่นในวันฮาโลวีนแล้ว
ไม่น่าจะมีอะไรที่ยากหรือเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป
ภาพ: Courtesy of On
อ้างอิง: