“อย่าเปรียบเทียบเขากับผมเลย มันจะเป็นการกดดันเขาตลอดเวลา อย่าเอาเขามาเปรียบเทียบกับผม อย่าบอกว่าเขาคือ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ คนใหม่ ปล่อยให้เขาได้ใช้ชีวิตของเขาไป”
โม ซาลาห์ ผู้ได้รับสมญา ‘The Egyptian King’ กล่าวถึงกองหน้ารุ่นน้องในทีมชาติอียิปต์ที่กำลังร้อนแรงและน่าจับตามองมากที่สุดคนหนึ่งในฤดูกาลนี้ จนถูกนำมาเปรียบเทียบกับรุ่นพี่ที่กลายเป็นสมบัติของชาติไปแล้ว
ในความหวังดีของซาลาห์ก็เป็นที่เข้าใจได้ แต่ในความตื่นเต้นของสื่อและแฟนบอลก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้เช่นกัน เพราะฟอร์มการเล่นของมาร์มูชในเวลานี้ยอดเยี่ยมอย่างมาก จนมันอดคิดไม่ได้ว่านี่แหละคือทายาทของซาลาห์และความหวังใหม่สำหรับทีมชาติอียิปต์
…รวมถึงลิเวอร์พูลด้วยไหม?
ผลงานของ โอมาร์ มาร์มูช ในฤดูกาล 2024/25 นั้นต้องบอกว่าเข้าขั้นมหัศจรรย์สำหรับผู้เล่นกองหน้าของทีมที่ไม่ใช่บิ๊กเนมอย่างไอน์ทรัคท์ แฟรงก์เฟิร์ต
11 ประตู 7 แอสซิสต์ เฉพาะในบุนเดสลีกา และหากนับรวมทุกรายการทำไปแล้ว 14 ประตู กับ 10 แอสซิสต์! นั่นทำให้มาร์มูชกลายเป็นผู้เล่นคนที่ 2 ใน 5 ลีกหลักของยุโรป (อังกฤษ, สเปน, อิตาลี, เยอรมนี และฝรั่งเศส) ที่ทำ ‘Double Figures’ หรือเลขสองหลักได้ทั้งในการทำประตูและทำแอสซิสต์
ส่วนคนแรก? จะเป็นใครไปได้นอกจากซาลาห์
โดยที่หากเราเปรียบเทียบผลงานมาร์มูชระหว่างฤดูกาลที่แล้วกับฤดูกาลนี้จะยิ่งมองเห็นพัฒนาการอย่างมีนัยสำคัญ เพราะตัวเลขเฉพาะในบุนเดสลีกาเวลานี้ก็เกือบจะเท่ากับผลงานในลีกตลอดฤดูกาลที่แล้วที่ทำไป 12 ประตู 6 แอสซิสต์จากการลงสนาม 29 นัดแล้ว ส่วนผลงานรวมทั้งฤดูกาล 2023/24 อยู่ที่ 17 ประตู 6 แอสซิสต์
ประกายแสงที่เจิดจ้านำพามาซึ่งคำถามว่าเขาคนนี้คือใครกัน?
โอมาร์ มาร์มูช เป็นนักเตะอีกรายที่เป็น ‘ดอกไม้บานช้า’ (Late Bloomer) ของวงการฟุตบอลยุคนี้ เพราะตอนนี้ที่เริ่มดังก็อายุล่วงมาถึง 25 ปีแล้ว
โดยก่อนหน้าที่จะกลายเป็นดาวเด่นที่น่าจับตามองและเชื่อว่าจะได้ย้ายไปร่วมทีมยักษ์ใหญ่ในอนาคตเร็วๆ นี้ กองหน้าคนนี้แทบไม่เคยฉายแววที่โดดเด่นมาก่อน
จากวาดี เดกลา สโมสรฟุตบอลในอียิปต์ มาร์มูชถูกดึงตัวมาร่วมทีมโวล์ฟสบวร์กตั้งแต่ฤดูกาล 2017/18 โดยต้องเริ่มตั้งแต่ทีมชุด 2 ของสโมสร และต้องใช้เวลาอีก 3 ปีกว่าจะขยับขึ้นมาอยู่ทีมชุดใหญ่เต็มตัวในปี 2020 ในปีที่มีโควิดระบาดพอดี
เกมประเดิมสนามครั้งแรกของเขาในวันที่โวล์ฟสบวร์กไปเยือนไบ อารีนา ของไบเออร์ เลเวอร์คูเซน และจบลงด้วยชัยชนะ 4-1 ในวันที่ 26 พฤษภาคม 2020 จึงเป็นเกมที่ลงแข่งในสนามที่ว่างเปล่าไม่มีผู้ชม ก่อนจะได้รับสัญญานักเตะอาชีพอย่างเป็นทางการหลังจากนั้น
อย่างไรก็ดี หลังจากนั้นเขาถูกปล่อยตัวให้ไปเก็บประสบการณ์กับซังต์ เพาลี ในระดับบุนเดสลีกา 2 เมื่อปี 2021 (7 ประตูจาก 21 เกม) ก่อนที่จะได้โอกาสกับสตุ๊ตการ์ตในฤดูกาล 2021/22 ซึ่งถือเป็นปีของการแจ้งเกิดในระดับบุนเดสลีกา (3 ประตูจาก 21 นัด)
แต่มาร์มูชกับโวล์ฟสบวร์กเหมือนจะยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม โดยสุดท้ายหลังจากอยู่กับทีมชุดใหญ่มา 4 ฤดูกาลเต็ม ด้วยผลงาน 6 ประตูจากการลงสนาม 48 นัด (เป็นตัวจริง 18 นัด) สโมสรตัดสินใจจะไม่ต่อสัญญาให้ใหม่
นั่นทำให้มาร์มูชกลายเป็นนักเตะฟรีเอเจนต์ สามารถย้ายทีมได้อย่างอิสระ โดยที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนเลยว่านักเตะที่ไม่มีค่าตัวคนนี้จะกลายเป็นสมบัติที่มีค่ามหาศาลสำหรับไอน์ทรัคท์ แฟรงก์เฟิร์ต ที่เซ็นสัญญาคว้าตัวเขามาร่วมทีมในฤดูร้อน 2023
และอย่างที่บอกไปข้างต้น ทันทีที่เท้าแตะถึงสนามบินแฟรงก์เฟิร์ต ชีวิตของมาร์มูชก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ความมหัศจรรย์ของมาร์มูชคือการเป็นผู้เล่นที่เก่งกาจรอบด้าน เล่นได้ทุกรูปแบบ โดยไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องของการทำประตูเท่านั้น แต่รวมถึงการสร้างสรรค์โอกาสให้กับเพื่อนด้วย ซึ่งในระบบการเล่นแบบ ‘หัวหอกคู่’ (Front Two) ของแฟรงก์เฟิร์ต ที่จะได้จับคู่กับ อูโก เอกิติเก เป็นการช่วยส่งเสริมเขาพอดี
อันตรายอย่างแรกของมาร์มูชคือความไดนามิกในการเล่น ไม่ว่าจะเป็นยามที่ได้ครอบครองบอลหรือไม่ได้ครองบอลอยู่ก็ตาม (On and Off the Ball) ซึ่งความไดนามิกเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วแข็งขันตลอดเวลาจะสร้างปัญหาให้กับเกมรับของคู่แข่ง
“เขาเป็นกองหน้าที่รับมือได้ยากเพราะความเร็วและการที่เขาสามารถวิ่งถอยกลับมาได้ไว” ดิโน ท็อปป์โมลเลอร์ บอสใหญ่ของแฟรงก์เฟิร์ต ซึ่งกลายมาเป็นกุนซือคู่บุญของมาร์มูชบอก
ในฤดูกาลนี้มีเพียง แฮร์รี เคน คนเดียวใน 5 ลีกใหญ่ของยุโรปที่มีส่วนร่วมกับการได้ประตู (Goal Involvements) มากเท่ากับดาวยิงชาวอียิปต์คนนี้ เพียงแต่หากนับเฉพาะในลีกแล้วเรื่องการมีส่วนกับการได้ประตูของเขาเหนือกว่าทั้งเคน (16 ประตู), โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี (16), โม ซาลาห์ (14) และ มาเตโอ เรเตกี (14)
ความอันตรายต่อมาของมาร์มูชคือเรื่องของความอันตรายในการจบสกอร์ที่เรียกได้ว่าน่าจะเข้าขั้นมหัศจรรย์ก็ว่าได้
นั่นเพราะในจำนวน 11 ประตูจากการลงเล่น 10 นัดในบุนเดสลีกาฤดูกาลนี้ เขามีค่าคาดการณ์ทำประตู (xG) เพียงแค่ 5.5 เท่านั้น ซึ่งหมายถึงมาร์มูชทำประตูได้มากกว่าจำนวนที่ควรจะเป็นถึง 2 เท่าเลยทีเดียว เรียกว่าเป็นการทำผลงานได้ดีเกินกว่าที่ควรจะเป็น (Overperformance)
โดยที่การเปลี่ยนโอกาสให้เป็นประตู (Shot Conversion) ของเขาก็น่าสนใจมาก เพราะอยู่ที่ 26.8 เปอร์เซ็นต์ในฤดูกาลนี้ ซึ่งถือว่าสูงไม่น้อย และดีกว่าฤดูกาลที่แล้วที่ทำได้ 15.2 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งหมายถึงมีการพัฒนาในเรื่องของความเฉียบคมในการจบสกอร์
ส่วนที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยเพราะเป็นทีเด็ดไม้ตายก้นหีบของมาร์มูช คือเรื่องของการเตะลูกเซ็ตพีซอย่างแม่นยำ
ในเกมล่าสุดที่พบกับสตุ๊ตการ์ต หนึ่งในทีมเก่าของเขา ดาวยิงจากแม่น้ำไนล์ยิงฟรีคิกเข้า ซึ่งเป็นการทำประตูจากลูกฟรีคิกโดยตรง (Direct Free Kick) เป็นเกมที่ 3 ติดต่อกัน โดยก่อนหน้ามาร์มูชมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยิงฟรีคิกเข้า 3 เกมติดคือ ลิโอเนล เมสซี ที่เคยทำได้สมัยอยู่กับบาร์เซโลนาในปี 2019
และในฤดูกาลนี้ก็ไม่มีผู้เล่นคนไหนทำประตูจากการยิงฟรีคิกได้มากเท่ากับเขาด้วย
ความร้ายกาจคือมาร์มูชใช้ความคล่องที่หาตัวจับได้ยากของเขาสร้างโอกาสให้แก่ตัวเองได้ด้วยผ่านการเรียกลูกฟรีคิก โดยในฤดูกาลนี้เขาทำให้คู่แข่งเสียฟรีคิกมากถึง 37 ครั้ง มากที่สุดในบรรดาผู้เล่นใน 5 ลีกใหญ่ของยุโรป
โดยที่มาร์มูชเป็นผู้เล่นที่พาบอลและสร้างโอกาสให้ทีมมากเป็นอันดับ 3 ในบุนเดสลีกา (323 ครั้ง) มีเพียง ลีรอย ซาเน (511) ของบาเยิร์น มิวนิก และ อังเดรจ์ คามาริช (348) จากฮอฟเฟนไฮม์เท่านั้นที่ทำได้มากกว่า
ลงลึกลงไปในเรื่องนี้อีก มาร์มูชเป็นกองหน้าที่พาบอลลุยและหาจังหวะจบสกอร์ได้มากที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ในบุนเดสลีกา โดยใน 126 ครั้งที่พาบอลไปหาโอกาสเอง มีโอกาสได้ยิงในกรอบเขตโทษถึง 16 ครั้งเลยทีเดียว
สิ่งที่น่าสนใจคือในฤดูกาลนี้มาร์มูชไม่ได้ประจำการในบทกองหน้าตัวกลางอย่างเดียว โดยได้ถูกใช้งานในบทปีกซ้ายและกองกลางตัวรุกเพิ่มขึ้นจากฤดูกาลที่แล้ว เรียกว่าเริ่มมีการขยาย ‘ระยะทำการ’ ให้กว้างไกลมากขึ้น
ด้วยเหตุผลทั้งหมดทำให้มาร์มูชกำลังเป็นอีกนักเตะที่ถูกจับตามองอย่างมากจากหลายสโมสรยักษ์ใหญ่ของยุโรป
บาเยิร์น มิวนิก ในฐานะยักษ์ใหญ่ของบุนเดสลีกาคือหนึ่งในทีมที่จับตาอยู่ และแน่นอนว่าลิเวอร์พูลที่ยังไม่แน่ใจกับอนาคตของซาลาห์ว่าจะต่อสัญญาฉบับใหม่หรือไม่ ก็มีคนคาดหวังว่ามาร์มูชจะย้ายมาแอนฟิลด์ไม่ว่าจะเพื่อเล่นร่วมกับดาวยิงรุ่นพี่หรือเพื่อแทนที่กันก็ตาม
และยังมีอีกหลายสโมสรที่พร้อมทุ่มเงินมหาศาลไม่ต่ำกว่า 60 ล้านยูโร สำหรับกองหน้าที่น่าจับตามองมากที่สุดคนหนึ่งตอนนี้
ภาพประกอบ: กันยกร กาญจนวิไล
อ้างอิง: