ราคาน้ำมัน ดิบเวสต์เท็กซัส สหรัฐฯ ร่วงลง 2.3% มาอยู่ที่ 88.54 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ ขณะที่น้ำมันดิบเบรนท์ซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐานน้ำมันโลกร่วงลงราว 3%
สาเหตุของความกังวลเกิดขึ้นหลังจากที่รายงานของภาครัฐแสดงให้เห็นปริมาณน้ำมันในคลังสำรองของประเทศยังมีอยู่มากมาย ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าความต้องการใช้น้ำมันกำลังปรับตัวลดลง
Robert Yawger รองประธานฝ่ายพลังงานตลาดฟิวเจอร์สของ Mizuho Securities ตั้งข้อสังเกตว่า รายงานสำนักงานข้อมูลพลังงานหรือ Energy Information Administration (EIA) ประจำสัปดาห์ที่แสดงให้เห็นว่าการใช้โรงกลั่นลดลง ปริมาณสต๊อกน้ำมันเบนซินที่เพิ่มขึ้น และปริมาณน้ำมันเบนซินที่จ่ายออกลดลง เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นในช่วงฤดูร้อนที่มีความต้องการใช้พลังงานในระดับสูง
รายงาน EIA ระบุว่าชาวอเมริกันใช้น้ำมันเบนซินน้อยกว่าที่เคยเป็นในช่วงซัมเมอร์ปีที่แล้ว แถมยังน้อยกว่าในช่วงฤดูร้อนปี 2020 ที่โควิดระบาดหนักจนยังต้องใช้มาตรการจำกัดการเดินทาง
ค่าเฉลี่ยการเคลื่อนไหวโดยเฉลี่ยของปริมาณน้ำมันเบนซินที่จ่ายออกในรอบ 4 สัปดาห์ สิ้นสุดวันที่ 29 กรกฎาคม อยู่ที่ 8.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน ลดลงประมาณ 9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปี 2020 เล็กน้อย
ขณะเดียวกัน มีรายงานว่าชาวอเมริกันบางส่วนตัดสินใจหยุดใช้รถหลังราคาน้ำมันพุ่งแตะ 5 ดอลลาร์สหรัฐต่อแกลลอน ในช่วงกลางเดือนมิถุนายน
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันร่วงลง 28% แล้วนับตั้งแต่พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 123.70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เมื่อวันที่ 8 มีนาคมที่ผ่านมา อันเนื่องมาจากการรุกรานยูเครนของรัสเซีย
วันเดียวทาง ทางด้านสถาบันการเงินระหว่างประเทศ หรือ Institute of International Finance (IIF) เปิดเผยรายงานที่แสดงให้เห็นทิศทางของนักลงทุนในตลาดในเวลานี้ ที่พากันแห่เทขายหุ้นและตราสารหนี้ของจีนเป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน
กระนั้น นักลงทุนในกลุ่มตลาดเศรษฐกิจเกิดใหม่ หรือ Emerging Markets (EM) กลับมีการเทขายหุ้นจีนต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ซึ่งถือได้ว่ายาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 2005 ที่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยไปทั่วโลก ขณะที่เงินเฟ้อและค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าก็ดึงสภาพคล่องออกจากตลาด
IIF ประเมินว่า มีการไหลออกจากตลาดตราสารหนี้จีนในเดือนที่แล้วประมาณ 3,000 ล้านดอลลาร์ แต่ตัวเลขดังกล่าวสูงถึง 6,000 ล้านดอลลาร์สำหรับในกลุ่มตลาดเศรษฐกิจเกิดใหม่
ทั้งนี้ หากได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการ การไหลออกของนักลงทุนต่างชาติในตลาดตราสารหนี้จะถือเป็นเดือนที่ 6 ของการไหลออก คิดเป็นพันธบัตรมูลค่า 20 ล้านล้านดอลลาร์
ในช่วงเวลาเดียวกัน ตลาดหุ้นจีนเห็นกระแสเงินไหลออกแล้ว 3,500 ล้านดอลลาร์ในหมู่นักลงทุนต่างชาติ ขณะที่มีการไหลเข้าเพิ่มมาเพียง 2,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ดัชนี CSI 300 มาตรฐานร่วงลง 7% โดยมีการลดลงทุกสัปดาห์ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เนื่องจากการระบาดของโควิดในประเทศ บวกกับความเสี่ยงจากภาวะถดถอยทั่วโลก ได้ส่งผลกระทบต่อตลาด
China International Capital Corporation (CICC) กล่าวว่า หุ้นระดับ A ของจีนมีแนวโน้มอ่อนแอลงตั้งแต่เดือนกรกฎาคมภายใต้อิทธิพลทั้งในและต่างประเทศ โดยข้อมูลแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกชะลอตัวลงอย่างมากในไตรมาสที่ 2 ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์กันไว้ก่อนหน้า
ขณะเดียวกันในขณะที่สงครามยูเครนยังคงดำเนินต่อไป ความตึงเครียดระหว่างจีนกับสหรัฐฯ สหรัฐฯ ก็มีแนวโน้มตึงเครียดหนักหลัง แนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรแห่งสหรัฐฯ ไปเยือนเกาะไต้หวัน
IIF กล่าวว่า อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ปัจจัยหลายประการจะส่งผลต่อพลวัตของกระแสทิศทางในช่วงเวลาที่อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงสุด และแนวโน้มเศรษฐกิจจีนจะกลับมาอยู่ในโฟกัสของนักลงทุนอีกครั้ง
อ้างอิง:
- https://edition.cnn.com/2022/08/04/business/oil-prices-selloff/index.html
- https://www.aljazeera.com/economy/2022/8/4/investors-dump-chinese-stocks-bonds-amid-global-recession-fears
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
- Twitter: twitter.com/standard_wealth
- Instagram: instagram.com/thestandardwealth
- Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP