บล. หยวนต้าหั่นเป้าราคาน้ำมันปีนี้เหลือ 45-50 ดอลลาร์ หลังปัจจัยกดดันเพียบ กระทบกำไรกลุ่มพลังงานปี 2563 หายหด 14% ชี้ PTTEP หนักสุด วูบ 37-44% – PTT ลดลง 20-31% ส่วน PTTGC ลดลง 14-18%
บล. หยวนต้าเปิดเผยว่า นับจากต้นปี 2563 ราคาหุ้นและราคาสินค้าพลังงาน-ปิโตรเคมีถูกกดดันอย่างหนักด้วยหลายประเด็นลบที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งผลประกอบการกลุ่ม Q4/62 หดตัวติดต่อกัน 3 ไตรมาส แตะระดับต่ำสุดตั้งแต่ Q3/58, ความตึงเครียดในตะวันออกกลางไม่สามารถผลักดันราคาน้ำมันได้อย่างที่เราและตลาดคาด, นโยบายอุดหนุนภาษีของการผลิตน้ำมันเตาของประเทศจีน ทำให้ปริมาณสต๊อกน้ำมันเตากำมะถันต่ำ (LSFO) ลดลงช้ากว่าที่เราและตลาดประเมินไว้ ส่งผลให้อุปสงค์น้ำมันดีเซลและค่าการกลั่นฟื้นตัวช้ากว่าคาด และสถานการณ์ภัยแล้งในประเทศที่รุนแรง ทำให้เกิดความเสี่ยงของการผลิตภาคอุตสาหกรรม
นอกจากนี้การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในหลายประเทศที่ยังไม่สามารถควบคุมได้ ส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุปสงค์น้ำมันเชื้อเพลิงในภาคการขนส่ง-ท่องเที่ยว และผลทางอ้อมจากการเติบโตของเศรษฐกิจที่ชะลอตัว รวมถึงความแตกแยกของกลุ่มโอเปกและพันธมิตรในการรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมัน นำไปสู่การแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาด ทำให้ราคาน้ำมันดิบทรุดลงอย่างมาก
ปัจจัยข้างต้นจึงทำให้ผลประกอบการกลุ่มฯ ใน Q1/63 มีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง กดดันจากราคา-ส่วนต่างราคาที่ทรุดลงแทบทุกชนิด, โอกาสบันทึกขาดทุนสต๊อกน้ำมันจำนวนมาก, และขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน หลังเงินบาทอ่อนค่าอย่างรวดเร็ว
ปรับลดเป้าราคาน้ำมัน คาดกำไรกลุ่มฯ หดตัวเป็นปีที่ 2
จากผลการประชุมโอเปกและพันธมิตรที่น่าผิดหวัง และการประกาศแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดของผู้ผลิตน้ำมัน ส่งผลให้จะมีอุปทานน้ำมันเข้าสู่ตลาดอีกหลายล้านบาร์เรล กดดันให้ตลาดน้ำมันอาจล้นตลาดอย่างมาก จึงมีการปรับลดสมมติฐานราคาน้ำมันดูไบปี 2563-2564 ลงจาก US$ 62/bbl เป็น US$ 45-50/bbl
ส่งผลต่อประมาณการของหุ้นที่กำไรอ้างอิงกับราคาน้ำมันดังนี้ 1. PTTEP ลดลง 37-44% 2. PTT ลดลง 20-31% 3. PTTGC ลดลง 14-18% ภายใต้สมมติฐานใหม่ คาดการณ์กำไรปกติกลุ่มฯ ปี 2563 อยู่ที่ 1.6 แสนล้านบาท หดตัว -14% YoY ติดต่อเป็นปีที่ 2
โรงกลั่นรับประโยชน์ หลังคุมโควิด-19 ได้
ภายใต้สถานการณ์ที่ยากลำบากและมีความไม่แน่นอนสูงในปี 2563 บล. หยวนต้าเชื่อว่า กลุ่มโรงกลั่นจะเป็นอุตสาหกรรมที่โดดเด่นกว่าอุตสาหกรรมผลิตน้ำมัน และปิโตรเคมี ที่ยังมีประเด็นลบจากอุปทานเกิดใหม่ที่รอเข้าสู่ตลาดในช่วงที่เหลือปี
สำหรับช่วงครึ่งปีหลัง 63 บล. หยวนต้าคาด กลุ่มโรงกลั่นจะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของอุปสงค์ หลังการแพร่ระบาดของไวรัสควบคุมได้, แรงกดดันจากอุปทานเกิดใหม่น้อยกว่ากลุ่มผู้ผลิตน้ำมันและปิโตรเคมี, ปัจจัยถ่วงค่าการกลั่นจากปริมาณสต๊อกน้ำมันเตากำมะถันต่ำ (LSFO) จะคลายตัว, และเป็นอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จากการประกาศลดราคาขายน้ำมัน เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาด
คงน้ำหนัก ‘เท่ากับตลาด’ ยก SPRC เป็น Top Pick
แม้ปี 2563 จะเป็นปีที่ท้าทายของกลุ่มฯ แต่ราคาหุ้นที่ -39% YTD จนราคาปัจจุบันซื้อขายบน PBV ที่มีส่วนลดจากค่าเฉลี่ย 10 ปี ราว 1.0 SD ถึง 4.0 SD และซื้อขายบน PBV ใกล้เคียงกับช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2551-2552 (ตารางที่ 25-34) นับว่าสะท้อนความอ่อนแอไปบ้างแล้ว และมี Downside อีกไม่มาก
บล. หยวนต้าจึงคงน้ำหนักการลงทุน ‘เท่ากับตลาด’ คง SPRC (‘ซื้อ’ ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2563 ที่ 7.30 บาท) เป็น Top Pick กลุ่มฯ จาก 1. การเติบโตปี 2563 ที่ชัดเจนกว่าคู่แข่งผลักดันด้วยประเด็นบวกจากภายใน (ค่าใช้จ่ายลดลง, กำลังผลิตเพิ่ม, อัตราผลิตเพิ่ม) 2. ภาระหนี้สินต่ำด้วย IBD/E เพียง 0.2x และไม่มีโครงการลงทุนใหญ่ในระยะสั้น 3. เป็นโรงกลั่นที่มีต้นทุนผลิตต่ำและประสิทธิภาพสูงอันดับต้นๆ ของภูมิภาค ทั้งนี้ นักลงทุนอาจรอจังหวะทยอยสะสมหลังผ่านงบ 1Q/63 ที่อ่อนแอจากค่าการกลั่นและขาดทุนสต๊อกน้ำมันจำนวนมาก
เรียบเรียง: สุรเมธี มณีสุโข
ติดตามข่าวสารการลงทุนเพิ่มเติมได้ที่: www.efinancethai.com
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล