วันนี้ (23 มีนาคม) สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) เพื่อพิจารณามาตรการบรรเทาผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และสถานการณ์ราคาน้ำมันโลกที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ว่า กบน. ได้พิจารณาในเรื่องราคาน้ำมัน และราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) เพื่อลดผลกระทบดังกล่าว
โดยมีมติให้ปรับลดอัตรากองทุนน้ำมันทุกชนิดลง 50 สตางค์ต่อลิตร แต่ในส่วนของเบนซิน E85 จะลดภาระการชดเชยลง ทำให้ปรับเพิ่มขึ้น 25 สตางค์ต่อลิตร เพื่อเป็นการส่งเสริมการใช้น้ำมันเบนซิน E20 ตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อทดแทนน้ำมัน E85 สำหรับน้ำมันดีเซล ได้ดำเนินการปรับลดราคา B10 ลง 50 สตางค์ต่อลิตร และปรับลด B20 ลง 25 สตางค์ต่อลิตร
โดยส่วนต่างระหว่างน้ำมัน B10 กับ B20 จะอยู่ที่ 25 สตางค์ต่อลิตร เพื่อเป็นการส่งเสริมการใช้น้ำมัน B10 ตามนโยบาย ‘พลังงานเพื่อทุกคน’ ทั้งนี้จะส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันทุกชนิดหน้าปั๊ม ลดลงระหว่าง 25-50 สตางค์ต่อลิตร ยกเว้น E85 ที่จะเพิ่มขึ้น 25 สตางค์ต่อลิตร
กบน. ยังมีมติเห็นชอบตามมติของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 19 มีนาคมที่ผ่านมา โดยให้ปรับลดอัตราเงินกองทุนน้ำมันในส่วนของก๊าซแอลพีจี จาก 4.9816 บาทต่อกิโลกรัม เหลือ 2.1779 บาทต่อกิโลกรัม หรือปรับลดลงจำนวน 2.8037 บาทต่อกิโลกรัม
ส่งผลให้ราคาขายปลีกลดลง 3 บาทต่อกิโลกรัม จาก 21.87 บาทต่อกิโลกรัม เหลือ 18.87 บาทต่อกิโลกรม หรือลดลง 45 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม จาก 363 บาทต่อถัง เป็น 318 บาทต่อถัง
“ทั้งนี้ การปรับลดอัตรากองทุนน้ำมันทุกชนิด รวมถึงก๊าซแอลพีจีจะมีผลตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม โดยเบื้องต้นจะดำเนินการสำหรับน้ำมันเป็นระยะเวลา 2 เดือน และสำหรับก๊าซแอลพีจีเป็นระยะเวลา 3 เดือน ซึ่งการพิจารณาของ กบน. นั้นสอดคล้องกับสถานการณ์ในต่างประเทศที่ราคาเชื้อเพลิงลดลงอย่างต่อเนื่อง และสถานการณ์การระบาดของเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทย ถือเป็นมาตรการเร่งด่วนช่วยเหลือประชาชน เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระค่าครองชีพจากราคาพลังงานในช่วงเวลาแห่งความยากลำบากของประชาชน” สนธิรัตน์ กล่าวในที่สุด
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์