องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) เปิดเผยรายงานราคาสินค้าและบริการในชาติสมาชิกของกลุ่ม ซึ่งพบว่าในประเทศพัฒนาแล้วทั้งหลายมีการปรับตัวแพงขึ้นอย่างมาก ทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นในอัตราสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2008 หรือสูงสุดในรอบ 13 ปี
ทั้งนี้ OECD ระบุว่า ราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้ตัวเลขเงินเฟ้อเฉลี่ยรายปีในชาติสมาชิกเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.3% ในเดือนเมษายน จากที่ระดับ 2.4% ในเดือนมีนาคมก่อนหน้า นับเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นที่เร็วที่สุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2008 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดวิกฤตการเงินโลก ทำให้เศรษฐกิจโลกตกอยู่ในภาวะถดถอยอย่างรุนแรง
โดยเงินเฟ้อยังมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น แม้ว่าจะตัดราคาอาหารและพลังงานซึ่งเป็นสินค้าที่มีความอ่อนไหวออกไปแล้วก็ตาม โดยเงินเฟ้อที่ไม่รวมอาหารและพลังงานทั่วโลกยังปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 1.8% ในเดือนมีนาคมมาอยู่ที่ 2.4% ในเดือนเมษายน
สำหรับเงินเฟ้อที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลพวงมาจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ของบรรดาประเทศพัฒนาแล้ว เพื่อเร่งการฟื้นฟูเยียวยาผลกระทบทางเศรษฐกิจที่บอบช้ำจากการระบาดของโควิด-19 โดยอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นถือเป็นข่าวร้ายสำหรับมนุษย์เงินเดือนที่มีรายได้คงที่ และอาจจะกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญในการฟื้นเศรษฐกิจ เนื่องจากเงินเฟ้อที่สูงขึ้นจะกดดันให้ธนาคารกลางทั้งหลายต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ด้านนักเศรษฐศาสตร์ส่วนหนึ่งมองว่า อัตราเงินเฟ้อในช่วงเวลานี้ถือว่าอยู่ในช่วงขาขึ้นแน่แล้ว เพียงแต่ยังไม่มีใครกล้าฟันธงว่าเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในขณะนี้เป็นปรากฏการณ์ชั่วคราวที่ค่อยๆ จืดจางไปเมื่อผู้บริโภคเริ่มปรับตัวเข้ากับชีวิตใหม่หลังยุคโควิด-19 หรือเป็นการส่งสัญญาณแนวโน้มเงินเฟ้อสูงที่บรรดาแรงงานและบริษัทต้องเตรียมตั้งรับ
อย่างไรก็ตาม ในมุมมอง OECD อัตราเงินเฟ้อน่าจะปรับตัวลดลงภายในช่วงสิ้นปีนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่ระบบซัพพลายเชนและห่วงโซ่การผลิตที่หยุดชะงักไปในช่วงก่อนหน้าเพราะโควิด-19 ระบาด จะกลับมาผลิตสินค้าได้ตามปกติ ส่วนความวิตกกังวลว่าอาจเกิดวงจรการขึ้นค่าแรงจนทำให้ราคาสินค้าขึ้นตาม นักเศรษฐศาสตร์ส่วนหนึ่งมองว่าไม่ใช่เรื่องน่าวิตก เนื่องจากยังมีตัวเลขคนว่างงานอยู่เป็นจำนวนมาก
ทั้งนี้ ราคาของสินค้าและบริการใน 38 ประเทศของ OECD ต่างปรับตัวเพิ่มขึ้นในอัตราที่ต่างกัน โดยทั้ง 38 ประเทศที่ว่านี้ล้วนเป็นชาติพัฒนาแล้วและมีขนาดเศรษฐกิจรวมกันคิดเป็นประมาณ 60% ของเศรษฐกิจโลก เช่น สหรัฐฯ ที่มีอัตราเงินเฟ้อรายปีเพิ่มขึ้นจาก 2.6% ในเดือนมีนาคมมาอยู่ที่ 4.2% ในเดือนเมษายน ขณะที่แคนาดาเพิ่มขึ้นจาก 2.2% มาอยู่ที่ 3.4% ส่วนอังกฤษเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.6%, เยอรมนี 2%, ฝรั่งเศส 1.2% และอิตาลี 1.1%
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล
อ้างอิง:
