10 ปีที่แล้วสโมสรฟุตบอลยักษ์ใหญ่ทั่วยุโรปต่างจับตามองนักเตะผู้ถูกเรียกขานว่าอาจจะเป็น ‘ปรากฏการณ์’ คนใหม่ของวงการฟุตบอล
มาร์ติน โอเดการ์ด สะเทือนวงการฟุตบอลนอร์เวย์ด้วยการก้าวขึ้นมาเป็นดาวเด่นของลีกสูงสุดภายในประเทศกับสโมสรสอร์มก็อดเซต ก่อนจะได้รับการเรียกตัวติดทีมชาติชุดใหญ่ตั้งแต่อายุ 15 ปี จนสุดท้ายสโมสรที่คว้าตัวเขาไปร่วมทีมได้สำเร็จคือเรอัล มาดริด ด้วยมนตร์เสน่ห์ของชุดขาวและคารมของ ฟลอเรนติโน เปเรซ ประธานสโมสรผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล
ปัญหาคือ คาร์โล อันเชลอตติ นายใหญ่ของ ‘โลส บลังโกส’ ในเวลานั้นไม่สนใจว่าเด็กคนนี้จะเก่งจะเทพมาจากไหน สำหรับเขาโอเดการ์ดก็เป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่ง และงานของเขาไม่ใช่การเป็นพี่เลี้ยงให้เด็กคนไหนทั้งนั้น
“ผมไม่สนใจหรอกว่าเขาจะย้ายมาหรือเปล่า เพราะเขาจะไม่ได้ลงเล่นให้ผมในตอนนี้แน่” อันเชลอตติกล่าวไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติส่วนตัวของเขา Quiet Leadership
วันนี้ – 10 ปีผ่านมา – อันเชลอตติและโอเดการ์ดกำลังจะได้กลับมาพบกันอีกครั้ง
ช่วงเวลาที่ทั้งคู่จะได้ชำระความรู้สึกกัน
ในปี 2025 เรอัล มาดริด กลับมาเป็นทีมที่สั่งสมนักฟุตบอลระดับชั้นเลิศของโลกเอาไว้มากที่สุด และที่สำคัญแทบทั้งหมดเป็นผู้เล่นอายุน้อยที่ถูกดึงตัวมาตั้งแต่อายุไม่มาก วินิซิอุส จูเนียร์, โรดริโก, จู๊ด เบลลิงแฮม, เฟเดริโก วัลเวร์เด, เอดูอาร์ด คามาแวงกา, โอเลเรียง ชูอาเมนี, อาดาร์ กูแลร์ เป็นต้น
แต่ก่อนที่ทั้งหมดนี้จะมา นักเตะสตาร์แห่งอนาคตคนแรกที่ฟลอเรนติโน เปเรซ คว้าตัวมาร่วมทีมจริงๆ คือ มาร์ติน โอเดการ์ด ‘วันเดอร์คิด’ จากนอร์เวย์ผู้สร้างปรากฏการณ์ในดินแดนไวกิ้งในช่วงปี 2015 จนทำให้เป็นที่หมายปองของสโมสรยักษ์ใหญ่ทุกแห่งของยุโรป
ข้อเสนอมากมายมีมาให้ครอบครัวและทีมงานของโอเดการ์ดพิจารณาทุกวัน เพียงแต่ด้วยมนตร์สะกดของชุดสีขาว ชื่อเสียงและประวัติศาสตร์รวมถึงโอกาสที่จะก้าวขึ้นมาเป็นปรากฏการณ์ของวงการฟุตบอลระดับโลกทำให้ทีมที่ได้รับการตอบรับเป็นทีมแรกคือเรอัล มาดริด
ภาพฝันของความสำเร็จมันหอมหวาน
แต่ภาพของความจริงมันไม่ต่างอะไรจากยาขม
พรสวรรค์ก็เรื่องหนึ่ง แต่ระดับของฝีเท้า ประสบการณ์ กระดูกกระเดี้ยว โอเดการ์ดเมื่ออยู่ในสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเขาก็ไม่ต่างอะไรจากเด็กน้อยคนหนึ่ง และความจริงก็ไม่ได้ดูแตกต่างอะไรจากเด็กคนอื่นในระดับเยาวชนของมาดริด หรือในทีมสำรองกาสติญาด้วยซ้ำ
และปัญหาใหญ่คือเขาไม่ใช่คนที่อันเชลอตติเลือก และจะไม่มีวันเลือกด้วยเพราะยังเด็กเกินไปมาก จะเอาอะไรไปสู้กับ คริสเตียโน โรนัลโด, ลูกา โมดริช, โทนี โครส, ฮาเมส โรดริเกวซ หรืออิสโก?
สิ่งที่บอสใหญ่ชาวอิตาเลียนทำได้คือการต้อนรับและให้เกียรติเทียบเท่ากับผู้เล่นอายุน้อยทุกคน ก็เท่านั้น
“ในตอนที่เขาย้ายมาผมก็ปฏิบัติกับเขาด้วยการให้เกียรติเช่นเดียวกับที่มีต่อนักเตะอายุน้อยทุกคน แต่เขาเป็นคนที่ถูกดึงตัวมาเพื่ออนาคต ซึ่งการให้ความเคารพต่อวิสัยทัศน์ของเจ้าของสโมสรก็เป็นเรื่องที่สำคัญเช่นกัน”
อันเชลอตติยืนยันว่างานของเขาไม่ใช่การตัดสินใจว่าใครจะอยู่หรือใครจะไป งานของเขาคือการเลือกนักเตะที่มีลงสนามแล้วทำผลงานให้ดีที่สุด
แต่คำพูดที่ค่อนข้างเจ็บคือ “ถ้าท่านประธานตัดสินใจที่จะทำเรื่องของการประชาสัมพันธ์ อยากให้เด็กจากนอร์เวย์ได้ลงเล่นสัก 3 นัดในทีมชุดใหญ่ ผมก็จะพยายามหาทางให้”
กิจกรรม ‘พีอาร์’ นั้นเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม 2015 เมื่ออันเชลอตติส่งโอเดการ์ดลงมาเป็นตัวสำรองคนสุดท้ายในเกมนัดส่งท้ายของฤดูกาลที่มาดริดถล่มเคตาเฟขาดลอย 7-3 ซึ่งเป็นเกมที่ไม่มีผลอะไรแล้วสำหรับใครก็ตาม เพราะแชมป์ลาลีกาตกเป็นของบาร์เซโลนาเป็นที่เรียบร้อย และอนาคตของ ‘คาร์เล็ตโต’ เองก็ถูกตัดสินไว้แล้วเช่นกัน
อันเชลอตติถูกปลดจากตำแหน่งหลังจบเกมดังกล่าว พร้อมกับคำทำนายถึงโอเดการ์ดที่ทิ้งไว้ในหนังสือ Quiet Leadership ที่ออกวางจำหน่ายในอีก 1 ปีหลังจากนั้น
“เขาอาจจะกลายเป็นหนึ่งในนักเตะที่เก่งที่สุดของโลกก็ได้หลังผมจากไปแล้ว”
แต่ถึงอันเชลอตติจะไม่อยู่แล้ว เด็กชายในคำทำนายของเขาก็ยังประสบปัญหาอยู่ดี
ที่ของโอเดการ์ดไม่ใช่ทีมชุดใหญ่ แต่เป็นทีมชุดเล็กอย่างกาสติญา ที่แม้จะเป็นฟุตบอลในระดับรองเอาไว้สั่งสมประสบการณ์ชีวิตลูกหนังแต่สตาร์ดาวรุ่งชาวนอร์เวย์ก็ยังไม่สามารถเปล่งประกายได้เลย
ปัญหาส่วนหนึ่งมาจากการที่เขาได้ลงฝึกซ้อมร่วมกับทีมชุดใหญ่ อยู่กับรุ่นพี่อย่างโรนัลโด, แกเร็ธ เบล, โครส, โมดริช และเซร์คิโอ รามอส แต่สุดท้ายเขาจะถูกส่งตัวไปเล่นกับทีมชุดเล็กเสมอ
โอเดการ์ดไม่รู้ว่า ‘ที่’ ของเขาอยู่ตรงไหนกันแน่
เขาบรรยายถึงช่วงเวลานั้นที่ฮันส์ เอริค โอเดการ์ด ผู้เป็นพ่อต้องขับรถไปส่งซ้อมกับทีมชุดใหญ่ว่า “เหมือนพ่อขับรถไปส่งผมที่โรงเรียน” ทุกวัน…แต่ไม่เคยได้รับการยอมรับ ขณะที่เมื่อถึงเวลาลงแข่งกับทีมชุดเล็กก็ไม่เคยได้ซ้อมได้เล่นร่วมกันกับเพื่อนทำให้ทำผลงานได้ไม่ดี
โดยที่เรายังไม่พูดถึงเรื่องการรับมือกับความกดดันและความคาดหวังที่หนักอึ้ง และการตกเป็น ‘เป้า’ ของทีมคู่แข่งที่จ้องตาเป็นมันอยากจะวัดดูฝีมือของไอ้เด็กมหัศจรรย์คนนี้หน่อย
ทุกอย่างที่ถาโถมมันหนักจนชักจะรับมือไม่ไหว โอเดการ์ดยอมรับว่าในช่วงเวลานั้นเขาเริ่มสูญเสียประกายในตัวเอง เริ่มเล่นไม่เป็นตัวเอง ลืมตัวตนที่เคยมีเคยเป็น คนที่เคยเป็นดาวเด่นที่สร้างปรากฏการณ์ในนอร์เวย์มันได้หายไปแล้ว
โชคดีสำหรับเขาที่ประตูชีวิตไม่ได้มีบานเดียว แต่มันก็ไม่ได้ง่ายดายนัก
การไปเล่นในสัญญายืมตัวในลีกดัตช์กับฮีเรนวีนและวิเทสส์ อาร์เนม ไม่ได้ออกมาดีอย่างที่คิดนัก ไม่ต้องพูดถึงทีมชาติที่อาการหนักซึ่งเป็นเรื่องเข้าใจได้สำหรับนักเตะที่กำลังประสบปัญหาไม่มีโอกาสลงสนามต่อเนื่อง
หลายคนเริ่มคิดว่าเขาอาจจะไปได้ไม่ไกลแล้ว โอเดการ์ดอาจจะกลายเป็น ‘เฟร็ดดี อาดู’ วันเดอร์คิดผู้น่าเศร้าคนใหม่
แต่ไม่ต่างอะไรจากดอกไม้ที่จะมีเวลาผลิบานของมันเอง
‘Norwegian Boy’ คนนี้ก็เช่นกัน
ในการเดินทางไปยืมตัวเป็นครั้งที่ 3 กับวิเทสส์ โอเดการ์ดเริ่มแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่เขาเป็นและสิ่งที่เขาทำได้
ก่อนที่เขาจะเริ่มผลิบานชัดเจนมากขึ้นกับเรอัล โซเซียดัด และค้นพบ ‘ที่’ ที่แท้จริงของเขากับอาร์เซนอล ในการยืมตัวครั้งที่ 5 ของชีวิตซึ่งกลายเป็นการเดินทางที่สำคัญที่สุด เพราะหลังจากนั้นไม่นานเรอัล มาดริด ก็ยอมเปิดทางให้เขาย้ายมาอยู่ที่ลอนดอนอย่างถาวร โดยที่อันเชลอตติกลับมารับตำแหน่งในเบอร์นาบิวอีกครั้งเป็นคนยอมปล่อยให้เขาไป
ที่นี่เองที่โอเดการ์ดฉายแววของยอดนักตะออกมา เด็กหนุ่มขี้อายในเบอร์นาบิวคนนั้นกลายเป็นหนึ่งใน ‘ผู้นำ’ ของอาร์เซนอล ใช้ฝีเท้า ความทุ่มเท และทัศนคตินำทาง จนทำให้นอกจากจะเอาชนะใจของ มิเกล อาร์เตตา บอสใหญ่ของทีมจนมอบตำแหน่งปลอกแขนกัปตันทีมให้ในฐานะคนที่จะถือตะเกียงนำทางกันเนอร์สยุคใหม่
เขายังเป็นที่รักของแฟนๆ อีกด้วย
เพียงแต่หากย้อนกลับไปถึงคำพูดที่อาจเปรียบได้ดังคำทำนายของอันเชลอตติที่มีต่อเด็กจากนอร์เวย์คนนั้น โอเดการ์ดยังไม่ได้พิสูจน์ตัวเองชัดเจนมากพอที่จะบอกว่าเขาคือหนึ่งในนักฟุตบอลที่เก่งที่สุดในโลกจริงๆ
จริงอยู่ด้วยความมุ่งมั่น วินัย ความขยัน จนถึงเทคนิคการเล่น มันสมอง และวิสัยทัศน์ในการเล่น รวมถึงสเต็ปเท้าที่คล่องแคล่วปานกำลังเดินอยู่เหนือผิวน้ำทำให้โอเดการ์ด เป็นหนึ่งในกองกลางที่ดีที่สุดของพรีเมียร์ลีกในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
แต่ในช่วงหลังเขาเองก็เริ่มเผชิญกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์ โดยเฉพาะจากกลุ่มสาวกกูนเนอร์ด้วยกันเองที่ตั้งคำถามถึงการเล่นของเขาที่ไม่ใช่เพียงแค่หยุดนิ่ง แต่นับตั้งแต่หายจากอาการบาดเจ็บรุนแรงในช่วงต้นฤดูกาลจนต้องหายหน้าไปร่วม 2-3 เดือน โอเดการ์ดดูเหมือนจะสูญเสียบางสิ่งที่พิเศษในตัวเองไป
โดยเฉพาะ ‘ความกล้า’ ที่จะทำอะไรสักอย่างเพื่อสร้างความแตกต่างให้กับทีม
ปัญหาการบาดเจ็บของผู้เล่นเสาหลักในทีมที่ผลัดกันล้มหมอนนอนเสื่อเป็นเรื่องโชคร้ายที่ทำอะไรไม่ได้ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าโอเดการ์ดเองยิ่งเล่นก็ดูจะสูญเสียความมั่นใจไป
ในเวลาที่ทีมต้องการใครสักคนที่จะพาทีมกลับมาได้ เขาไม่เคยปรากฏตัว
นั่นทำให้เกมในค่ำคืนนี้จึงเป็นเกมที่น่าจับตามองอย่างมาก เพราะหากจะมีเกมไหนสักเกมที่กระตุ้นจิตใจของโอเดการ์ดให้อยากทุ่มเทจนสุดชีวิตที่สุด การกลับมาเพื่อพบกับเรอัล มาดริด และคาร์โล อันเชลอตติ อีกครั้งย่อมเป็นเกมนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
จากเด็กหนุ่มอายุแค่ 16 ปีในวันนั้น วันนี้โอเดการ์ดในวัย 26 ปีกำลังอยู่ในช่วงของการค้นหาเส้นทางสุดท้ายเพื่อไปสู่ความยิ่งใหญ่จะได้โอกาสในการพิสูจน์ตัวเองต่อหน้าอันเชลอตติ และแฟนชุดขาวอย่างจริงจังครั้งแรก
มันคือความหมายพิเศษเฉพาะตัวในเกมนัดนี้สำหรับกัปตันอาร์เซนอล
ที่หากปล่อยให้เกมนี้ผ่านไปเฉยๆ มันอาจจะติดค้างในใจของเขาตลอดไป
อ้างอิง:
- https://www.skysports.com/football/news/11670/13344016/martin-odegaard-at-real-madrid-a-pr-exercise-gone-wrong-or-the-making-of-the-arsenal-captain
- https://www.thetimes.com/article/e4171e18-de1c-455b-8549-91ee5b2d0afb?shareToken=312fbec5711982753f846b7b92694004
- https://www.football365.com/news/odegaards-champions-league-reunion-real-madrid-pr-exercise-arsenal-ace
- https://www.ysscores.com/en/news/13721028/Odegaard-Seeks-Redemption-Against-Real-Madrid