Obi-Wan Kenobi คือซีรีส์ความหวังและพลังใหม่ของจักรวาล Star Wars ที่วัดได้จากพลังเสียงและการยืนขึ้นปรบมือของคนในฮอลล์ Anaheim Convention Center ดังยาวนานต่อเนื่อง ที่บอกได้เลยว่าแฟนๆ Star Wars ที่โตมากับโอบีวัน, โยดา, อนาคิน สกายวอล์กเกอร์ และ ดาร์ธ เวเดอร์ จะเหมือนได้กลับไปกาแล็กซีไกลแสนไกลอีกครั้ง และถ้าไม่ใช่แฟน Star Wars Obi-Wan Kenobi ก็นับเป็นซีรีส์ที่สนุก จังหวะดี มีมุกขำๆ ที่ดูไปหัวเราะไปได้ด้วย

ย้อนกลับไปเมื่อช่วงหัวค่ำที่ผ่านมา (26 พฤษภาคม) ที่งาน Star Wars Celebration ได้จัดเซอร์ไพรส์พิเศษสำหรับแฟนๆ Star Wars ทั่วโลกที่มาร่วมงาน รวมถึง THE STANDARD POP จากประเทศไทยที่ได้รับโอกาสอันพิเศษนี้ ยวน แมคเกรเกอร์ และผู้กำกับ เดโบราห์ เชา ได้จัดรอบฉายพิเศษเพื่อเป็นของขวัญ และเป็นรอบฉลองพิเศษสำหรับทีมงาน นักแสดง เพื่อน และครอบครัวของพวกเขา โดยฉายซีรีส์ 2 อีพีแรกของ Obi-Wan Kenobi บนจอใหญ่ในอารีนาฮอลล์ พร้อมบริการน้ำและป๊อปคอร์น ให้บรรยากาศการฉลองในโรงภาพยนตร์ร่วมกันแบบที่ไม่ได้จัดงานรวมตัว Star Wars มานานเกือบ 3 ปี

อ่านต่อ: 

• ซีรีส์ Obi-Wan Kenobi การกลับมาของ ยวน แม็กเกรเกอร์ กับบทโอบีวัน เจไดมาสเตอร์แห่ง Star Wars
• Star Wars เรียบเรียงไทม์ไลน์พร้อมเรื่องย่อครบทั้งกาแล็กซีอันไกลแสนไกล 

รีวิว 2 อีพีแรกที่ได้ดูพร้อมกับยวน แมคเกรเกอร์ ในงาน Star Wars Celebration

เปิดตัวซีรีส์ด้วยเพลงธีม Obi-Wan Kenobi จากฝีมือของ John Williams เจ้าของ 5 รางวัลออสการ์ 25 รางวัลแกรมมี่ อวอร์ดส์ ตำนานแห่งวงการฮอลลีวูดผู้แต่งเพลงธีม Star Wars Saga ที่ทุกคนรู้จักกันดี จากนั้นซีรีส์จะพาเราย้อนกลับไปสู่อดีตอันไกลโพ้นในกาแล็กซีไกลแสนไกล

ตามมาด้วยฉากการต่อสู้ของเหล่าเจไดและเจไดฝึกหัด ที่ต้องหนีให้พ้นการตามล่าล้างเผ่าพันธุ์เจไดของฝ่ายมืด ทำให้เรานึกย้อนไปถึงเรื่องราวก่อนหน้านี้ ที่อ้างอิงหลังจากภาพยนตร์ Star Wars Episode III: Revenge of the Sith ที่ฝ่ายเจไดเพลี่ยงพล้ำจนกลายเป็นฝ่ายกบฏที่ต้องถูกทำลายให้สิ้นตามคำสั่งของดาร์ธ ซิเดียส 

ถ้าอ้างอิงตามไทม์ไลน์ของภาพยนตร์ Star Wars: Skywalker Saga เหตุการณ์ที่มาต่อจาก Revenge of the Sith ก็คือ Star Wars Episode IV: A New Hope (1977) ที่เล่าเรื่อง 19 ปีหลังจากนั้น เมื่อโอบีวันพาลุค สกายวอล์กเกอร์ไปซ่อนตัวที่ดาวทาทูอีน และเลอาถูกรับเป็นลูกสาวเบล-เบรฮา แห่งอัลเดอราน ดังนั้น ช่วงเวลา 19 ปีที่ภาพยนตร์ไม่เคยเล่าถึง จึงถูกนำมาขยายความให้เห็นความเป็นไประหว่างนั้นที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขาผ่านซีรีส์ Obi-Wan Kenobi 

ลุคและเลอาเติบโตมาอย่างไร ฝ่ายมืดออกตามล่าเหล่าเจไดอย่างอดทนอย่างไร และโอบีวัน เคโนบีที่ซ่อนตัวอยู่นั้น เพราะอะไรเขาจึงกลับมามีความหวังได้อีกครั้ง

เรื่องราวบนดาวทาทูอีน

เบน หรือ เจไดโอบีวัน ที่หลบหนีการตามล่าไปหลบซ่อนอยู่ที่ดาวทาทูอีน เขาฝังดาบไลต์เซเบอร์ไว้ และหมดสิ้นความหวังพลังใดๆ ใช้ชีวิตทำงานแลกเงินไปวันๆ ถ่ายทอดผ่านภารกิจซ้ำๆ หมุนวนไปทุกวัน พร้อมด้วยภาพเวิ้งว้างกว้างไกลของทะเลทรายที่ชวนให้เข้าใจความเหือดแห้งบางอย่างในใจ และความกลัว ความไม่แน่ใจที่มองเห็นในดวงตาของโอบีวัน เมื่อเขาต้องกลับมาทำภารกิจสำคัญเพื่อช่วยเหลือลุคและเลอา ครอบครัวเดียวที่เขามีเหลืออยู่

ฉากดาวทาทูอีนในปี 2022 สมจริงและเต็มไปด้วยฉากที่คุ้นเคยในเวอร์ชันที่คู่ควรกับการฉายขึ้นจอภาพยนตร์หรือโทรทัศน์คมๆ ที่บ้าน แล้วยังมาพร้อมตัวละครคุ้นเคยมากมายที่มาสร้างความอารมณ์ดีให้ซีรีส์เรื่องนี้กลมกล่อม ทั้งยังเชื่อมโยงจักรวาล Star Warsในซีรีส์ภาคแยกต่างๆ เข้าด้วยกันอย่างแนบเนียน

ประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างโอบีวันและครอบครัวสกายวอล์กเกอร์ก็ดูน่าสนใจ เชื่อว่าในอีพีต่อๆ ไปน่าจะนำไปสู่ความลึกซึ้งในประเด็นนี้และเกี่ยวข้องกับซีรีส์ได้ไม่ยาก รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างโอบีวันและอนาคิน สกายวอล์กเกอร์ ที่แม้จะปรากฏตัวในอีพี 1-2 เพียงไม่กี่วินาที แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นแรงกระเพื่อมที่ยิ่งใหญ่ และแทบจะอดใจรออีพีต่อไปไม่ไหว

ความกลัวคือหนทางของความมืด?

ในซีรีส์ Obi-Wan Kenobi นอกจากความน่ารักของ เลอาตัวจิ๋ว (รับบทโดย วิเวียน ไลรา แบลร์) เรายังได้เห็นมุมใหม่ๆ ของเจ้าหญิงเลอาช่วงยังเป็นเด็ก คาแร็กเตอร์ที่ส่องสะท้อนให้เธอเติบโตเป็นนักรบ นักการทหารที่เข้มแข็งที่สุด อธิบายได้จากซีรีส์เรื่องนี้ โดยเฉพาะเรื่อง ‘ความกลัว’ ที่เธออธิบายให้เราได้เข้าใจชัดเจน และสอดคล้องกับเหตุผลของมันที่ว่า บางคนทำเป็นวางอำนาจเหนือคนอื่น ใช้กำลังจัดการให้ได้ตามที่ตัวเองต้องการก็เพราะกลัว ความกลัวที่พวกเขามีซ่อนอยู่ข้างใน

ขณะเดียวกัน ตัวละครที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือกองกำลังพิเศษ The Inquisitor ที่พัลพาทีนจัดตั้งขึ้นมาในการออกตามล่าเจไดที่ยังมีชีวิต ซึ่งหัวหน้ากองกำลังพิเศษนี้ก็คือ The Grand Inquisitor (รับบทโดย รูเพิร์ต เฟรนด์) ที่ครั้งหนึ่งก็เคยเป็นเจไดมาก่อน ร่วมด้วย The Fifth Brother (รับบทโดย ซองคัง) และ The Third Sister (รับบทโดย โมเซส อินแกรม) ที่เรียกว่าความหัวร้อนและทะเยอทะยานของเธอเป็นสิ่งที่ทำให้เราต้องจับตามองน้องสามคนนี้ให้ดี

แม้ว่าในอีพี 1-2 ยังไม่มีฉากต่อสู้ดุเดือดให้เห็น เน้นเป็นการปูเรื่อง และการเริ่มต้นกลับมาสู่การต่อสู้อีกครั้งของโอบีวัน แต่เราจะได้เห็นฉากไล่ล่าอุ่นเครื่องกันสมใจ 

และในเมื่อการต่อสู้ระหว่างด้านมืดและด้านสว่างยังคงเป็นเรื่องหลัก เราน่าจะได้เห็นฉากต่อสู้ยิ่งใหญ่อลังการในอีพีต่อๆ ไป รวมถึงปมแค้น ความหลังต่างๆ ระหว่างเจไดที่แปรพักตร์ไปสู่ด้านมืด เจไดที่ยังหลบซ่อนจากความตายในที่ต่างๆ และเจไดฝ่ายมืดที่ฟื้นคืนกลับมาจากความตาย

สำหรับใครที่ยังไม่แน่ใจว่าจะดูดีไหม หรืออยากลองกลับไปจักรวาล Star Wars อีกสักครั้งดีหรือเปล่า ก็ต้องบอกว่าซีรีส์ Obi-Wan Kenobi เป็นเส้นทางที่เหมาะกับทั้งแฟนใหม่ แฟนเก่า แฟนเดนตายของ Star Wars เพราะสามารถติดต่อเรื่องได้ไม่ยาก และทุกอีพีคือการทิ้งประเด็นน่าติดตามจนอยากดูให้ครบทั้ง 6 อีพี และออกสำรวจจักรวาล Star Wars ที่สร้างเป็นซีรีส์แยกอีกมากมายได้ไม่รู้จบ

หรืออย่างน้อยๆ ซีรีส์ Obi-Wan Kenobi คือการมอบความหวังบางอย่างให้เกิดขึ้น ทั้งกับโอบีวันเอง จักรวาล Star Wars รวมถึงคนดูที่อยู่ทางบ้าน เป็นการส่งมอบพลังบางอย่างแก่กัน 

คงเหมือนกับที่ยวน แมคเกรเกอร์พูดไว้บนเวทีก่อนการฉายรอบพิเศษของซีรีส์ Obi-Wan Kenobi ที่ว่า “May the Force be with you always”