กลายเป็นความวุ่นวายช็อกตลาด และเล่นเอาบรรดานักลงทุนประหลาดใจและงุนงง เมื่อหุ้นยักษ์ใหญ่อย่าง Berkshire Hathaway ในตลาดหุ้นนิวยอร์ก (New York Stock Exchange: NYSE) ปรับตัวร่วงลงถึง 99% เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (3 มิถุนายน) แต่ในที่สุด NYSE ก็ได้ออกมาขออภัย พร้อมชี้แจงว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเป็นเพราะเหตุขัดข้องทางเทคนิคของ NYSE เอง โดยเหตุขัดข้องทางเทคนิคนี้ที่ส่งผลให้หุ้นบางตัว รวมถึงหุ้นระดับ A-Class ร่วงหนักเกือบ 100% ได้รับการแก้ไขแล้ว
รายงานระบุว่า หุ้นที่ได้รับผลกระทบจากเหตุขัดข้องทางเทคนิคที่เกิดขึ้นได้กลับมาเปิดทำการซื้อขายใหม่แล้ว ขณะที่มีอีกส่วนหนึ่งกำลังอยู่ระหว่างขั้นตอนเปิดให้เทรดอีกครั้ง
เหตุขัดข้องทางเทคนิคดังกล่าวส่งผลกระทบต่อหุ้นส่วนใหญ่ของตลาดในช่วงเช้าของการซื้อขาย โดยเว็บไซต์สถานีข่าว CNBC รายงานว่า เหตุขัดข้องในครั้งนี้มีความเกี่ยวข้องกับกลไก Limit Up และ Limit Down (LULD) ที่มีหน้าที่ควบคุมความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ที่อยู่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ
นอกจากหุ้น Berkshire Hathaway ของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่ได้รับผลกระทบคือร่วงหนักถึง 99.97% แล้ว ยังมีหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากเหตุขัดข้องทางเทคนิคดังกล่าวจนระงับการซื้อขายชั่วคราวคือหุ้นของ Barrick Gold ซึ่งร่วงลง 98.54% และ NuScale Power ซึ่งร่วงลง 98.51% อย่างไรก็ตาม ไม่นานหลังจากที่ NYSE แก้ไขได้ หุ้นทั้งหมดก็กลับมาซื้อขายได้ตามปกติ ขณะที่โฆษกของตลาดระบุว่า ปัญหาต่างๆ ได้รับการแก้ไขแล้วและการซื้อขายก็กลับมาเป็นปกติ และกำลังตรวจสอบการซื้อขายที่อาจได้รับผลกระทบ
รายงานระบุว่า หลังการแก้ไข หุ้น A-Class ของ Berkshire Hathaway ปรับตัวลดลง 0.21% หุ้น Barrick Gold ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.61% และหุ้น NuScale Power ปรับตัวลดลง 6.99%
ด้าน Consolidated Tape Association หรือ CTA ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้กำกับดูแลประมวลผลข้อมูลหลักทรัพย์ที่เผยแพร่ข้อมูลการค้าและการเสนอราคาแบบเรียลไทม์ในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กและหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ อธิบายเพิ่มเติมว่า มีปัญหาเกี่ยวกับช่วงราคาที่จำกัดขึ้นและลง ซึ่งเป็นกลไกที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อต่อสู้กับความผันผวนของตลาด ระหว่างเวลา 09.30-10.27 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน โดยปัญหาดังกล่าวอาจเกิดจากการเปิดตัวซอฟต์แวร์ใหม่ และองค์กรจะเปลี่ยนกลับไปใช้โปรแกรมซอฟต์แวร์ก่อนหน้าในศูนย์ข้อมูลหลักสำหรับเซสชันการซื้อขาย
CTA ระบุว่า มีหุ้น 40 ตัวที่ได้รับผลกระทบจากปัญหานี้ โดยหุ้นเด่นอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ Chipotle Mexican Grill และ Bank of Montreal
รายงานยืนยันว่า มีการซื้อขายที่บันทึกไว้น้อยกว่า 4,000 รายการในวันที่ 3 มิถุนายน สำหรับหุ้น A-Class ของ Berkshire เมื่อการซื้อขายถูกระงับ กระนั้นการซื้อขายยังคงดำเนินต่อไปในหุ้น B-Class ซึ่งลดลงน้อยกว่า 1% ในเช้าวันที่ 3 มิถุนายน อย่างไรก็ตาม โดยรวมแล้วการหยุดชะงักที่เกิดขึ้นไม่ปรากฏว่ามีผลกระทบอย่างเด่นชัดต่อมูลค่าของค่าเฉลี่ยของตลาดหลักๆ
ด้านสถานีโทรทัศน์ CNBC รายงานว่า ปัญหาในวันที่ 3 มิถุนายนที่ผ่านมาเป็นอีกสิ่งเตือนใจว่า การแลกเปลี่ยนและผู้ให้บริการข้อมูลที่เป็นศูนย์กลางของ Wall Street นั้นไม่ได้ปราศจากข้อผิดพลาดโดยสิ้นเชิง โดยมีตัวอย่างล่าสุดอื่นๆ ได้แก่ การหยุดฟีดข้อมูลดัชนี CME นานหนึ่งชั่วโมงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และข้อผิดพลาดของระบบ Nasdaq ในเดือนธันวาคม ซึ่งทำให้คำสั่งซื้อบางรายการถูกยกเลิก หรือกรณีที่ NYSE ใช้เวลาหนึ่งวันเต็มๆ ในเดือนมกราคม 2023 เมื่อการเปิดการประมูลหุ้นบางตัวเกิดขึ้นอย่างไม่ถูกต้อง
โดยทั่วไปแล้ว ปัญหาทางเทคนิคที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นอาจส่งผลกระทบต่อตลาดโดยรวม ทั้งยังทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น และอาจเป็นเหตุให้คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ (SEC) เข้ามาตรวจสอบได้
ทั้งนี้ ในการซื้อขายตามวันปกติ หุ้นระดับ A-Class ของ Berkshire ถือเป็นหนึ่งในหุ้นที่มีการซื้อขายสูงสุดตัวหนึ่งในตลาด Wall Street โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หุ้น A-Class อย่าง Berkshire สามารถซื้อขายได้สูงกว่าราคาเฉลี่ยของตลาดหุ้น A-Class ถึงประมาณ 45% แตะระดับสูงสุดตลอดกาลที่ 634,440 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อวันที่ 28 มีนาคม โดยส่วนหนึ่งเป็นกลยุทธ์ของบัฟเฟตต์ที่ไม่เคยแบ่งหุ้น เนื่องจากเจ้าตัวต้องการดึงดูดผู้ถือหุ้นที่มุ่งเน้นการลงทุนและมีวิสัยทัศน์ระยะยาว ทำให้ผู้ถือหุ้นของ Berkshire จำนวนมากใช้หุ้นของ Berkshire เป็นบัญชีออมทรัพย์
ข้อมูลจาก FactSet ระบุว่า บัฟเฟตต์ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ Berkshire โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นระดับ A กว่า 38% กระนั้นบัฟเฟตต์ก็ให้คำมั่นที่จะทยอยลดครองการถือหุ้นของตนเองใน Berkshire ซึ่งเป็นบริษัทที่บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีนักลงทุนเจ้าของฉายา ‘Oracle of Omaha’ ดำเนินกิจการมาตั้งแต่ปี 1965
อ้างอิง: