ถึงแม้ภาวะเศรษฐกิจและหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูงอาจบั่นทอนความสามารถในการจับจ่ายของคนไทย ส่งผลให้ธุรกิจหลายภาคส่วนได้รับผลกระทบอย่างหนัก
ทว่าสิ่งนี้กลับสวนทางกับธุรกิจอาหารเสริม สะท้อนจากข้อมูลของธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ระบุว่า ตลาดอาหารเสริมไทยมูลค่า 17,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ยปีละ 5.1% และคาดว่าภายในปี 2568 มูลค่าตลาดจะขยับแตะ 1 แสนล้านบาท
หัวใจสำคัญที่ทำให้ตลาดโตขึ้นนั้น มาจากแรงหนุนของพฤติกรรมผู้บริโภค โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพมากขึ้น บางคนหันมาเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแทนการพึ่งพายาแผนปัจจุบันที่มีราคาสูงและเข้าถึงยาก
ศิริพร ทองรุจิโรจน์ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท NUUI World จำกัด กล่าวว่า แม้ตอนนี้เศรษฐกิจไทยจะชะลอตัว คนกำลังซื้อน้อยลงแต่ผู้คนยังเลือกใช้จ่ายกับกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ทำให้สุขภาพดี โดยเฉพาะกลุ่มโปรตีน Plant-based วิตามินเฉพาะทาง คอลลาเจน ทำให้ธุรกิจนี้ยังเติบโตได้อีกมาก
เมื่อตลาดสดใส สิ่งที่ตามมาคือการแข่งขันที่ดุเดือดมากขึ้น ทั้งช่องทางร้านสะดวกซื้อและบนแพลตฟอร์มออนไลน์ เมื่อตลาดมีช่องว่าง ผู้ประกอบการทั้งรายเก่าและรายใหม่ได้เร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ พร้อมทำการตลาดสร้างความเชื่อถือให้กับแบรนด์
เช่นเดียวกับแบรนด์สินค้าของ NUUI WORLD อยู่ในตลาดมากว่า 13 ปี มีไลน์อัพสินค้าทั้งกลุ่มไฟเบอร์ คอลลาเจน และโปรตีน Plant-based โดยสินค้าเรือธงคือไฟเบอร์ ปัจจุบันสร้างยอดขายอันดับต้นๆ ในร้านสะดวกซื้อเซเว่นฯ
“ยอมรับว่าการขายสินค้าเพื่อสุขภาพในร้านสะดวกซื้อการแข่งขันสูงมาก หากย้อนไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว มีผู้เล่นในกลุ่มอาหารเสริมอยู่ประมาณ 1-2 โดยแบรนด์ NUUI ก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ปัจจุบันมีแบรนด์ใหม่ๆ เข้ามามากกว่า 7 แบรนด์ ทั้งกลุ่มไฟเบอร์และคอลลาเจน ส่วนใหญ่ทุกเจ้าจะแข่งขันกันที่คุณภาพและผลลัพธ์สินค้า ทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกมากขึ้น” ศิริพร ย้ำ
จากปัจจัยดังกล่าวเป็นโจทย์ให้แบรนด์ต้องปรับทิศทางการทำธุรกิจ ผันตัวจากการเป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทั่วไป มาเป็น Life Science & Wellness Brand ที่พัฒนาไปตามการเปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน ควบคู่กับการรักษาจุดแข็งและพัฒนาอินโนเวชันใหม่ๆ มากขึ้นเข้ามาสู่ตลาดมากขึ้น
รวมถึงการเปิดตัว NUUI On the Go มาในรูปแบบตู้ขายสินค้าผ่านตู้ Vending Machine โดยมองว่าช่องทางที่สร้างความสะดวกให้กับลูกค้า แม้รายได้ต่อเดือนจะไม่สูงมาก แต่จะทำให้ลูกค้ารู้จักแบรนด์มากขึ้น จากนั้นจะต่อยอดไปถึงระบบ CRM และสร้างรอยัลตี้ให้กับคอนซูเมอร์ได้ด้วยเช่นกัน
อีกทั้งจะใช้เป็นช่องทางที่นำสินค้าใหม่ๆ เข้ามาทดลองตลาดก่อนที่จะลอนช์ไปช่องทางอื่นๆ เบื้องต้นบริษัทฯ มีเป้าหมายติดตั้งตู้กดเพิ่มอีก 5 ตู้ภายใน 1 เดือน และตั้งเป้าขยายสู่ 20 ตู้ภายในปี 2025 โดยจะเน้นทำเลหลักในเขตกรุงเทพฯ ได้แก่ ห้างสรรพสินค้าพรีเมียม, สถานี BTS และ MRT รวมถึงอาคารสำนักงานและฟิตเนสเซ็นเตอร์พันธมิตร
อย่างไรก็ตาม จากกลยุทธ์ทั้งหมดมั่นใจว่าจะช่วยทำให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้ระยะยาว จากปัจจุบันที่สร้างยอดขายเติบโตขึ้นปีละ 10-20% โดยมาจากช่องทางโมเดิร์นเทรดเป็นหลัก