ถ้าพล็อตกราฟชีวิตของ NUM KALA ตลอดระยะเวลา 22 ปี เราจะพบการเคลื่อนไหวที่ผาดโผน ขึ้นสูง-ดิ่งลงต่ำ อย่างโลดโผนในทุกพื้นที่ของวงการดนตรี ชนิดที่กราฟเหรียญคริปโตเคอร์เรนซีที่ว่ามาแรงยังต้องยอมแพ้
จากเด็ก ป.3 ที่เข้าวงโยธวาทิตตามพี่ชาย ฟอร์มวงกับเพื่อนประกวด Hotwave Music Awards ประสบความสำเร็จจน ‘กะลา’ กลายเป็นวงร็อกที่ประสบความสำเร็จสูงสุด ใช้ชีวิตสนุกสนานเหมือนขึ้นรถไฟเหาะตีลังกา ล้มลุกคลุกลาน โซซัดโซเซด้วยฤทธิ์ของสุราและอาถรรพ์ ‘ร็อกสตาร์’ จนชีวิตดิ่งลงต่ำ
หลังจากนั้นบทเรียนจากความ ‘ห่วย’ ทำให้หนุ่มเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเอง กลับมาอีกครั้งในฐานะศิลปินเดี่ยวที่เริ่มประสบความสำเร็จ ก็ต้องใช้ชีวิตช่วงหนึ่งวนเวียนกับการเล่นคอนเสิร์ตสลับกับไปขึ้นโรงพักเพื่อเคลียร์คดีความเรื่องลิขสิทธิ์ ได้มีคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกที่รอคอยมานาน กลายเป็นศิลปินที่มีเพลงฮิตระดับร้อยล้านออกมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับแฟนคลับจำนวนมากที่พร้อมยืนรอเพื่อได้ถ่ายรูปกับเขาเป็นเวลา 2-3 ชั่วโมงหลังจบคอนเสิร์ตทุกครั้ง
จนวันนี้ NUM KALA ก้าวเท้าพาตัวเองเข้าสู่ช่วงอายุ 40 ปี พร้อมกับ JOY อัลบั้มชุดที่ 10 อีกหนึ่งหมุดหมายในชีวิตที่ทำให้เขาได้ทดลองทำสิ่งใหม่ๆ ทั้งเต้น ร้องเพลงอาร์แอนด์บี ฟีเจอริงกับศิลปินที่อยากทำงานด้วย รวมทั้งได้ร่วมร้องเพลงสานฝันให้กับ ‘คุณพ่อ’ อย่างเป็นทางการครั้งแรกในชีวิต
เป็นความ JOY ที่สุดในชีวิตที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และเป็นความ JOY ที่ต่อให้อัลบั้มนี้ไม่มีเพลงฮิตเขาก็ไม่เสียใจ!
ย้อนกลับไปตั้งแต่ตอนเด็ก อะไรคือสิ่งที่ JOY ที่สุดในชีวิตของคุณเวลานั้น
เป็นเรื่องดนตรีมาตั้งแต่แรกเลยครับ ผมเข้าวงโยธวาทิตเป็นมือทรัมเป็ตตั้งแต่ ป.3 ตอนแรกมีพี่ชายเป็นแรงบันดาลใจ แล้วรู้สึกว่าเป็นกิจกรรมที่ทำให้เด็กคนหนึ่งมีชีวิตชีวามากขึ้น ได้ไปเจอโลกกว้าง ได้ไปแข่งขันชิงถ้วยพระราชทาน ได้ไปที่ที่ไม่เคยไป ได้ไปนอนค้างที่โรงเรียนเพื่อเก็บตัวครั้งแรก ซึ่งสำหรับเด็กๆ มันเป็นอะไรที่สนุกมากเลย ถึงแม้จะมีช่วงเวลากดดันเพราะถูกเคี่ยวเข็ญเยอะมาก แต่ก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นแรงบันดาลใจเรื่องดนตรีที่จริงจังมากขึ้น
แล้วก็มีความจอยอีกอย่างหนึ่งเกิดขึ้น คือได้ไปดูคอนเสิร์ต Hotwave แล้วรู้ว่าเขามีแข่งประกวดวงดนตรีด้วย เลยเริ่มฟอร์มวงไปแข่ง เป็นช่วงเวลาที่ดีมากๆ อีกเหมือนกัน เพราะตอนนั้นเป็นช่วงฟองสบู่แตก ที่บ้านผมลำบากมากนะ อดมื้อกินมื้อ บ้านถูกไฟตัด ไม่มีส้วมใช้
ในโลกความเป็นจริงเราไม่มีอะไรเลย ดูด้อยค่ากว่าคนอื่นๆ แต่เราลืมเรื่องเหล่านั้นไป เราไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบอะไรทั้งสิ้นเมื่อเล่นดนตรี เป็นน้ำหล่อเลี้ยงชีวิตเพราะเราร้องเพลงแล้วมีความสุขมากๆ
ระหว่างทางก็มีความสุข ผมจำโมเมนต์ไปรอผลรอบ 30 วงสุดท้าย ต้องลุ้นว่าเมื่อไหร่โทรศัพท์บ้านข้างๆ จะดัง เพราะในวงไม่มีใครมีโทรศัพท์เลย (หัวเราะ) พอมีคนโทรมาที่บ้าน บอกว่าน้องได้เข้ารอบ 30 คนนะ โห แค่นี้เท่ไปทั้งตำบลแล้ว (หัวเราะ) ถึงครั้งนั้นจะไปไกลสุดแค่รอบนั้น แต่ก็จอยมากๆ
แล้วตอนนั้นเราได้เห็นวงลาบานูนที่อยู่ห้องซ้อมเดียวกัน เขาเข้ารอบ 10 คน แล้วได้ออกเทป ก็กลายเป็นแรงบันดาลใจว่า เฮ้ย เราต้องกลับมาใหม่ ตอนนั้นผมกลายเป็นคนมีความฝันแค่อย่างเดียวแล้วคือการเป็นนักร้อง ต้องออกเทปให้ได้ คราวนี้ก็ไปถึงรอบ 10 วงสุดท้าย ไม่ได้รางวัลอะไรเหมือนกัน แต่จุดเริ่มต้นการเดินทางความฝันที่จะได้เห็นตัวเองอยู่บนปกเทปเกิดขึ้นแล้ว
คิดว่าถ้าคุณไม่ได้ไปประกวดเวที Hotwave Music Award ตอนนั้น ชีวิตจะเป็นอย่างไร
ผมคงเป็นเด็กเรียนไม่จบคนหนึ่งหรืออาจจะติดคุกอยู่ก็ได้ เหตุการณ์ช่วงนั้นสำคัญจริงๆ ผมจำได้แทบทุกอย่าง ตั้งแต่ไปวันเซ็นสัญญาที่แม่ป่วย แล้วต้องงัดแม่จากที่นอนไปเซ็นสัญญา เพราะผมเพิ่งอายุ 17 ปี ต้องมีผู้ปกครองไปด้วย ตอนแรกเขาไม่ยอมไปนะ เขารู้สึกว่าเพ้อเจ้อ เราเป็นเด็กที่เกิดในชุมชนแออัด ซึ่งมันไกลกับการเป็นศิลปินของแกรมมี่มากๆ แต่พอไปถึงจริงๆ เขานั่งน้ำตาคลอเลย
หลังจากนั้นชีวิตของคุณก็น่าจะสดใสขึ้นมาแล้ว
เหมือนสดใสแต่มีนรกรออยู่ครับ (หัวเราะ) ตอนเทปออกผมดีใจมากนะ ไปเดินวนอยู่หน้าแผงเทป ยังไม่มีเงินซื้อเทปตัวเองนะแต่ภูมิใจ โดยไม่เคยรู้ว่าการเป็นนักร้องไม่ใช่แค่ออกเทป เดินเท่ๆ แล้วมีคนกรี๊ด เพราะช่วงแรกเรายังไม่ประสบความสำเร็จ ได้ไปออกทีวีแค่ 3-4 รายการ
แถมคอนเสิร์ตแรกที่ได้เล่นเป็นแคมปัสทัวร์ในโรงเรียนมัธยม แล้วบุคลิกเราคงดูเด็กๆ เปรี้ยวๆ มั้ง เดินผ่านตรงไหนมีแค่คนตะโกนด่ากันยับ (หัวเราะ) เอาจริงๆ ตอนนั้นนอยด์นะ แต่พอเดินขึ้นเวทีผมจะไม่สนใจเสียงจากโลกภายนอกเลย เพราะนี่คือโลกของผม
คิดว่าในช่วงเวลานั้น มีความ JOY อยู่ในชีวิตมากขนาดไหน
ไม่รู้สึกจอยเลย เวลาไม่มีงานก็นอนดูคนอื่นออกทีวี เอามือก่ายหน้าผาก คิดเรื่องที่ไม่สวยหรู จนเพลง รอ ออกมาแล้วมันดัง เริ่มมีงานเยอะขึ้น เราดีใจแต่ก็ไม่ได้จอยเต็มที่ เพราะไปไหนมาไหนคนก็ไม่มีใครรู้จักเราอยู่ดี แล้วพอเริ่มมีงานทัวร์ได้ 18 โชว์ มือกีตาร์ป่วยหนัก เลยหยุดพัก ทำอัลบั้มใหม่ที่เป็นอีกจุดเปลี่ยนหนึ่ง
เพลง รอ ของวง KALA จากอัลบั้ม กะลา
ชุดนี้พี่หมี (เทียนชัย เกียรติปรุงเวช) มาช่วยดูแบบเต็มตัวมากกว่าชุดแรก ผมคลุกคลีกับเขาด้วยการไปนอนเฝ้าห้องอัดให้ เขาขุดความเป็นเรา อัลบั้ม 2 ชื่อ นอกคอก เพราะเขาเห็นว่าไอ้แก๊งนี้มันสุดขีดก็เลยออกมาแบบนี้
ซึ่งช่วงที่เราได้รวมตัวทำงาน หมกมุ่น ลองผิดลองถูกรวมกันหลายๆ เดือนในห้องอัด เป็นความรู้สึกที่ผมเอ็นจอยมากๆ รู้สึกเหมือนร็อกสตาร์ที่เขาทำงานหนัก แต่มีความไม่จอยอย่างหนึ่งที่ไม่ค่อยมีคนรู้ คือผมไม่ชอบเพลงในชุดนี้เลย (หัวเราะ) เช่นเพลง ขอเป็นตัวเลือก
เพลง ขอเป็นตัวเลือก ของวง KALA จากอัลบั้ม นอกคอก
ซึ่งนั่นคือหนึ่งในเพลงที่ดังที่สุดในยุคนั้นของวงกะลา
(หัวเราะ) ไม่ถึงกับไม่จอยขนาดนั้น แต่แอบคิดว่า “พี่เอาเพลงไรให้ผมร้องเนี่ย” พี่หมีเขาอยู่กับเราแล้วเห็นความเป็นไทยในตัวสูง เลยรู้สึกว่าเพลงประเภทนี้น่าจะประสบความสำเร็จกับเราได้ ซึ่งในความรู้สึกเรามันเก่ามากเลย ร็อกตอนนั้นมีแต่เท่ๆ เลยนะ พี่แมว มุมมืด แล้วเพลงชุดแรกอย่าง แม่ ของ กะลา นี่ก็โคตรเมทัล มาคราวนี้ช้าซึ้งมาเลย เกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย (หัวเราะ) แต่ตอนร้องชอบนะ รู้สึกว่าเพลงเพราะมาก แค่ยังไม่เข้าใจ
อย่างเพลง เธอเป็นแฟนฉันแล้ว (อัลบั้ม 3 หัวกะทิ) ก็ยังไม่เข้าใจมากนะ ดังๆ ทั้งนั้น (หัวเราะ) แต่ค่อยๆ มาเข้าใจหลังจากเพลงนี้ล่ะ เริ่มเข้าใจว่าเขาวางหมากให้เรามีซิกเนเจอร์แบบนี้ ค่อยๆ เรียนรู้ จนอัลบั้มที่ 4 มายเนมอิสกะลา มีเพลง บอกสักคำ ที่ผมแต่งเอง ก็ค่อยๆ เจอตัวเองมากขึ้นว่าผมเป็นผู้ชายแอบรักคนอื่น เป็นแค่คนมองไกลๆ เจียมเนื้อเจียมตัว
ช่วงนั้นกะลาก็ขึ้นมาเป็นวงที่ประสบความสำเร็จมากๆ แล้ว คราวนี้รู้สึก JOY กับการมีชื่อเสียงและได้ไปเล่นคอนเสิร์ตมากขนาดไหน
จริงๆ จอยตั้งแต่อัลบั้ม 2 เทปขายได้เยอะ ผมได้เป็นพรีเซนเตอร์ คอนเสิร์ตปีละ 300 โชว์ ทุกอย่างใหม่หมด จนมาชุด 3 ที่เริ่มพีก ผ่านงานมาเยอะ รู้มาก รู้ว่านักร้องต้องทำอะไร แล้วก็เริ่มเกเร
จำไม่ได้ว่าช่วงไหนของการทัวร์ แต่มีโชว์นึงที่เขาให้เล่นตี 3 แล้ววันนั้นเห็นคนเริ่มเมากันเละ ซึ่งตอนนั้นผมยังกินเหล้าไม่เยอะนะ นิดเดียวมึนแล้ว พอเมาไปถึงจุดหนึ่งขึ้นไปเล่นคอนเสิร์ตแล้วเหมือนผมกับทุกคนรวมร่างกัน กลายเป็นโชว์วันนั้นสนุกแบบบอกไม่ถูก ทั้งที่ผมเป็นคนเล่นโชว์มันอยู่แล้วนะ วันนั้นมันกว่าเดิมไม่รู้กี่เท่า หลังจากนั้นกินทุกโชว์ เป็นที่มาของการเป็นร็อกสตาร์ ในวันฮอร์โมนส์พลุ่งพล่าน
ผมกินเหล้าไปเรื่อยๆ จนเหมือนคนดื้อยา จาก 3 แก้วขึ้นโชว์ได้ ก็ค่อยๆ เพิ่มปริมาณจนตอนหลังต้องกิน 2 แบนก่อนขึ้น กลายเป็นขี้เมาไปโดยปริยาย แล้วในที่สุดเราก็ได้เป็นท็อปของค่ายแกรมมี่ คือถ้าพูดถึงเรื่องกินเหล้า ชื่อเรามาอันดับแรกๆ แน่นอน (หัวเราะ)
ช่วงที่กินเหล้าหนักๆ ขึ้นไปเล่นคอนเสิร์ตด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ยังเป็นความ JOY ของเราอยู่ไหม
หลังจากกินเหล้าจริงจัง ผมไม่เคยใช้เหล้ามาตอบโจทย์เรื่องเอ็นเตอร์เทนคนอีกแล้ว มันตอบแค่โจทย์ของตัวเองว่ากูอยากกินเหล้า ถึงเวลาก็ต้องกิน ใครทักเรื่องกินเหล้าก็โกรธ ถามว่าเมาไหม ไม่เมา แต่ตาแดงแปร๊ดเลย
มาถึงวันนี้ที่ไม่มีฤทธิ์แอลกอฮอล์อยู่ในตัว คุณมองเห็นอะไรในตัวเองวันนั้นบ้าง
ความห่วย ไม่มีวินัย ไม่มีความรับผิดชอบ ไม่เป็นมืออาชีพ เป็นไอ้ขี้เมาโดยสมบูรณ์ จริงๆ ที่ผ่านมาจนถึงอัลบั้มที่ 6 กราฟวงกะลาก็ยังดีอยู่นะ มันมีเพลงซูเปอร์ฮิตหมดเลย ซึ่งคนที่ทำให้มันตกก็คือความห่วยของผมเองนี่ล่ะ
พอเราถูกเสิร์ฟความสำเร็จทุกอย่างตั้งแต่เพลง รอ เหมือนพระเจ้าให้สิ่งดีๆ ทุกอย่างจนเราเคยตัว เริ่มไม่มีวินัยเพราะคิดว่าเดี๋ยวแ-งก็ดัง ทำอะไรเดี๋ยวก็ดีอีก วันหนึ่งผมนอนร้องเพลงในห้องซ้อมเพราะขี้เกียจ จนมือกลองด่า “ไอ้เ-ยหนุ่ม ร้องให้ดีๆ ดิวะ ฟังไม่รู้เรื่อง” ผมยังจำภาพได้ มันแย่ขนาดนั้นเลย
นอกเหนือจากนั้นคือความไม่ใส่ใจ แล้วมันส่งไปถึงคนดู เขารู้สึกได้ เพราะที่ผ่านมากะลาเป็นวงที่เล่นดนตรีไม่เก่งเลย แต่โชว์สนุกมากนะ พวกเราแม่งเอ็นเตอร์เทนคนโคตรเก่งเลย แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นตอนทัวร์ในอัลบั้มที่ 6
แล้วคุณก็เริ่มฟื้นฟูร่างกาย พัฒนาตัวเอง กลับมาเป็นวงกะลารอบ 2 ความรู้สึกคราวนี้แตกต่างจากวงกะลารอบแรกอย่างไรบ้าง
ช่วงแรกลำบากมาก เพราะตอนนั้นตลาดเปลี่ยนไปด้วย ไม่มีใครยอมรับพวกเราเลย โดนด่าเละ ความแตกต่างคือรอบแรกผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย แค่หอบความฝันอยากเป็นนักร้องแล้วก็ทำกันมา
แต่พอรอบนี้เรารู้แล้วว่าโลกของวงการนี้เป็นอย่างไร ยิ่งรู้มากก็ยิ่งทรมาน ยิ่งเคยประสบความสำเร็จมากก็ยิ่งเจ็บปวด จากที่ที่เราเคยอยู่อย่างยิ่งใหญ่มาเป็น 10 ปี คราวนี้กลับไปยืนบนเวทีแบบเดิม แต่ไม่มีคนดูแล้ว ต้องเล่นเป็นวงเปิดของนักร้องที่เพิ่งมีซิงเกิลเดียว
ความรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง ตอนกะลาต้องมาเล่นเป็นวงเปิด
ผมไม่ค่อยพูดเรื่องนี้บ่อย เพราะความรู้สึกตอนนั้นมันเจ็บปวดมาก เราออกมา 6 อัลบั้ม ไม่รวมอัลบั้มพิเศษ เพลงฮิตโคตรเยอะ ตอนนี้เราดูตกต่ำขนาดนี้เลยเหรอ นั่นเป็นความเจ็บปวดหนึ่ง
กับอีกอย่างหนึ่งก็คือไปงานที่ต้องถ่ายรูปรวมกับวงอื่นๆ ครั้งหนึ่งนักร้องคนอื่นไปยืนข้างหน้ากัน 5 คน แต่ผมโดนดันกลับมาข้างหลัง ซึ่งเพื่อนๆ วงอื่นก็น่ารักมาก เรียกหนุ่มมาดิๆ พอขึ้นไปผมก็โดนผลักกลับมาข้างหลังอีก เป็นความรู้สึกที่โคตรพีกเลย ไม่ได้โกรธนะ แต่ทำให้เราเริ่มเข้าใจสัจธรรมว่ามันคงหมดเวลาของเรา ตรงนี้คงไม่ใช่ที่ของเราแล้วจริงๆ
พอถึงช่วงที่ผมทำวงกะลารอบ 2 เลยแต่งเพลงชื่อ ทำใจให้ชิน ขึ้นมา แล้วบอกเพื่อนว่าถ้าซิงเกิลนี้ไม่มา กูไปเลี้ยงเป็ดแล้วนะ แต่เพลงดันดังก็เลยทำต่อ
เพลง ทำใจให้ชิน วง กะลา อัลบั้ม โฟร์แชร์
แต่ช่วงนั้นก็เป็นเวลาที่คำว่า ‘ร็อกไทย’ โดนเหยียดเละเป็นโจ๊ก เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ตอนนั้นมันไม่เหลือที่ยืนให้เราแล้ว แต่ก็กลายเป็นเวลาที่ผมได้เรียนรู้เยอะที่สุด เพราะหลังจากจบวงกะลายุคแรก ผมเป็นโรคซึมเศร้า กลับมาพร้อมมายด์เซ็ตใหม่ว่าอยากแก้ไขจุดบกพร่อง แล้วปรับเปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้น
เป็นช่วงที่เราได้เริ่มแต่งตัวแนวใหม่ เริ่มร้องเพลงแนวใหม่ๆ จนมีเพลง ใจเรายังตรงกันอยู่ไหม ซึ่งแตกต่างจากเดิม ทีนี้สิ่งที่ได้กลับมาจากการยุบวงรอบนี้ก็คือ เราได้ทดลองอะไรใหม่ๆ เป็นร้อยๆ เรื่องในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ทำให้พอมาเป็นศิลปินเดี่ยวมันสร้างความมั่นใจขึ้นมาจากสิ่งที่ทำไปวันนั้น
ใจเรายังตรงกันอยู่ไหม – KALA
พอคุณกลับมารอบนี้ทุกอย่างก็ดีขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดคุณก็ได้มีคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรก หลังจากรอคอยมา 19 ปี ความรู้สึกในวันนั้นเป็นอย่างบ้าง
แยกเป็น 2 เรื่อง เรื่องแรกคือดีใจที่เกิดขึ้น อย่างที่สอง มันเป็นช่วงวุ่นวายที่สุดเพราะเราต้องเคลียร์เรื่องคดีให้ได้ในช่วงนั้น เพราะไม่อย่างนั้นเราจะถูกหมายจับกลางคอนเสิร์ต (หัวเราะ)
แต่เอาจริงๆ เรื่องคดีไม่ได้ทำให้ผมกังวลเท่าไหร่นะ ผมกังวลเรื่องขายบัตรมากกว่า ตอนที่ค่ายบอกว่าจะจัด 2 รอบ ยังคิดอยู่เลยว่าพี่จะเอาจริงเหรอ แล้วผมต้องขึ้นเครื่องบินไปทำเรื่องคดีที่ สน. จังหวัดหนึ่ง พอลงเครื่องมาปรากฏว่าบัตรขายหมดเร็วมาก เป็นการไป สน. ที่ใจฟูที่สุดเลย
บรรยากาศตอนได้ขึ้นไปร้องเพลงและวงมาจากเวทีเป็นอย่างไรบ้าง
ผมไม่เคยคาดหวังเรื่องความรู้สึกเลยว่าอยู่บนเวทีจะเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่ตั้งใจมาตลอดคือ ผมอยากให้ทุกคนเดินออกจากงานแล้วไปพูดถึงว่าคอนเสิร์ตนี้แม่งโคตรดี ซึ่งเราไม่รู้หรอกว่าจะทำได้ไหม แต่เราตั้งใจและหมกมุ่นกับมันมากๆ เพราะรอมาตั้ง 19 ปี พอขึ้นไปบนเวทีก็คิดว่าจะต้องทำสิ่งนี้ให้ดีที่สุด
แล้วพอลงเวทีมาความรู้สึกมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ มันกลายเป็นคอนเสิร์ตที่มีคนพูดเยอะมาก มีน้องคนหนึ่งที่ดูแต่คอนเสิร์ตฝรั่ง พอได้มาดูก็บอกว่าเป็นโชว์ที่ดีมาก ซึ่งผมไม่รู้หรอกว่าดีของเขามันคือแค่ไหน แต่สิ่งหนึ่งที่เราตั้งใจให้เกิด มันเกิดขึ้นมาแล้วจริงๆ
ลองเปรียบเทียบคอนเสิร์ตใหญ่ที่จอยมาก กับคอนเสิร์ตแรกที่เริ่มดื่มแล้วบอกว่าสนุกแบบบอกไม่ถูก ความแตกต่างมันเป็นอย่างไรบ้าง
มันคนละฟีลกันนะ วันที่ดื่มหนักๆ ผมลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าการเล่นดนตรีโดยไม่มีแอลกอฮอล์ในร่างกายเป็นอย่างไร พอถึงวันคอนเสิร์ตผมกลับมาเป็นคนปกติที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์แล้วรู้สึกว่าเป็นช่วงเวลาที่เสถียรและดีที่สุดในการเล่นคอนเสิร์ต
ในวันที่เราไม่ดื่ม เราเอาอะไรมาทดแทนฟีลลิ่งของการดื่มแอลกอฮอล์
ในช่วงแรกยาก อย่างที่บอกว่าหลายปีที่ผ่านมาผมลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าผมเป็นคนร้องเพลงที่สนุกได้โดยไม่มีเหล้าได้อย่างไร เพราะคิดว่าพอเราเมาขึ้นไป เรากล้าพูด กล้าทำทุกอย่าง พอเลิกเหล้าก็พยายามใช้ช่วงเวลาที่เรายังไม่มีงานค่อยๆ ฟื้นฟูทั้งร่างกายและความรู้สึกขึ้นมา จนถึงช่วงท้ายของวงกะลารอบ 2 ที่เริ่มได้ฟีลในการเล่นโดยไม่ต้องเมากลับมาแล้ว
ตอนนั้นเป็นช่วงที่รู้สึกเสถียรและกล้าใช้คำว่าผมเป็นมืออาชีพ เพราะมีวินัยและความรับผิดชอบแล้วจริงๆ ผมไม่ต้องให้ใครรอ ผมทำการบ้านทุกอย่างที่จำเป็นต้องทำ รู้สึกเหมือนออกเทปชุดแรกที่อยากทำทุกอย่างไปหมด พอกิจวัตรประจำวันเปลี่ยนไป สนุกกับการเรียนรู้และเปลี่ยนแปลงตัวเองตลอดเวลา มันทำให้เรารู้สึกอยากทำสิ่งนี้โดยไม่มีเงื่อนไข ไม่กลัวด้วยซ้ำว่ามันจะเจ็บตัวกลับไปเป็นเหมือนเด็กๆ เลย
อย่างเช่น เมื่อก่อนผมมีปัญหาเรื่องถ่ายรูป โพสท่าไม่เป็น ใครให้ทำอะไรก็ไม่ทำ เหมือนสะกดจิตตัวเองว่าทำไม่ได้ แล้วเราก็มาคิดว่าจะอยู่กับการทำไม่เป็นไปตลอดจริงๆ เหรอ เราอยู่ในวงการมา 22 ปีแล้วนะ หลังจากนั้นก็ไปฝึกฝนเลย เริ่มจากไปเปิดรูปคนอื่นดู อยู่บ้านก็ตั้งกล้องถ่ายรูปดูเอง ส่วนไหนที่ไม่เข้าใจจริงๆ ก็ขอคำแนะนำ เหมือนเปลี่ยนจากสะกดจิตตัวเองว่าทำไม่ได้ เป็นสะกดจิตตัวเองว่าทำได้แค่นั้นเอง
การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นยากไหม สำหรับคนที่เติบโตมาในระดับหนึ่งแล้วต้องค่อยๆ เปลี่ยนแปลงตัวเองทีละนิดๆ
ช่วงหลังไม่ได้ยากมาก ตั้งแต่เงื่อนไขนี้ถูกทลายลงตอนที่ผมถ่ายรูปกับแฟนเพลงหลังเล่นคอนเสิร์ตเสร็จ ตอนแรกมีความเชื่อหนึ่งที่ผมถูกสอนมาว่าจบคอนเสิร์ตแล้วอย่าไปเจอคนเยอะ รีบขึ้นรถตู้ไปเลย ให้คนรู้สึกว่าไม่ได้เจอเราง่ายๆ แล้วเขาจะอยากเจอเราอีก แต่กลายเป็นว่าผมกลับมาประสบความสำเร็จรอบนี้เพราะผมลงไปคลุกคลีกับคน
เริ่มทำแบบนั้นตั้งแต่ตอนไหน
ตั้งแต่เป็นนักร้องเดี่ยวครับ เล่นคอนเสิร์ตเสร็จก็จะถ่ายรูปกับคนดู กี่ร้อยกี่พันคนก็ยืนถ่าย จะ 2-3 ชั่วโมงก็รอจนกลายเป็นธรรมเนียมแบบใหม่ขึ้นมา ซึ่งผมไม่ได้ประชดคำสอนเดิมนะ ผมแค่คิดว่าผมดับไปแล้วรอบหนึ่ง สิ่งที่อยากทำในรอบนี้ก็คือตอบแทนคนดู เพราะกลัวว่าหลังจากวันนี้ผมจะไม่ได้เจอเขาอีก แล้วคิดว่าที่วันนี้ผมมีแฟนคลับขนาดนี้ก็มาจากเรื่องนี้ด้วย
ผมนึกถึงความรู้สึกของตัวเองเวลาไปดูคอนเสิร์ตของคนที่เราชอบมากๆ แล้วอยากคุยกับเขาสักคำหนึ่ง ได้ขอลายเซ็น ถ่ายรูปด้วยกัน ถ้ามีโอกาสสักครั้งหนึ่งเราคงจำมันไปจนวันตาย ผมก็คิดแบบนี้ว่าเราไม่ใช่ร็อกสตาร์แล้ว เราเป็นเพื่อนคนหนึ่งของเขา เป็นแค่นักร้องคนหนึ่งที่โชคดีมีคนฟังเยอะเท่านั้นเอง
ถ้าเป็นเมื่อก่อนมันจะไม่มีความทรงจำอะไรในคอนเสิร์ตเลยใช่ไหม
เวลาทำงานยังจำไม่ได้เลยครับ (หัวเราะ)
พอมาถึงอัลบั้มล่าสุด จุดเริ่มต้นของคอนเซปต์คำว่า JOY เริ่มต้นมาได้อย่างไร
เกิดจากพอทำอัลบั้มที่แล้ว Time to Smile เสร็จ ทางค่ายอยากให้ทำอีก 1 อัลบั้ม เราก็คุยกันว่านี่คืออัลบั้มที่ 10 แล้ว เราควรทำอะไรที่แตกต่างจากเดิมดีกว่า ถือว่าเฉลิมฉลองที่งานเดินทางมาถึงอัลบั้ม 10 ที่ผมไม่เคยฝันมาก่อน เลยอยากตอบแทนแฟนเพลงด้วยความพิเศษที่เราไม่เคยทำมาก่อน แล้วก็ได้เป็นคำนี้ขึ้นมา
ซึ่งพอได้คำนี้มาแล้วการทำงานมันก็ตรงกับคอนเซปต์คำว่า JOY ทั้งหมดเลย เป็นการทำงานที่ไม่มีกรอบเลย จากอัลบั้มชุด Time to Smile ที่คิดว่าสนุกมากแล้วนะ แต่ชุดนี้สนุกกว่าอีก ผมโคตรมีความสุขเลย
แต่ทุกเพลงยังอยู่บนพื้นฐานของการทำเพลงให้เพราะอยู่นะ เพียงแค่มันไม่ต้องอิงอะไรอีกแล้ว ไม่ต้องคิดว่าจะต้องทำเพลงที่ไม่ใช่ NUM KALA ด้วยซ้ำ มันแค่ทำอะไรก็ได้ที่ผมอยากทำเลยจริงๆ รวมทั้งการเลือกนักร้องมาร่วมฟีเจอริง ที่ก็แค่เริ่มต้นจากความคิดที่ว่าผมอยากร่วมงานกับใครบ้างแค่นั้นเลย
เริ่มต้นที่เพลง จม ก่อน ความรู้สึก JOY ที่เกิดขึ้นในเพลงนี้มีอะไรบ้าง
จม คือเพลงที่แต่งพร้อมกับ สบายดีหรือ ในชุดที่แล้ว แต่ตอนนั้นรู้สึกเพลงในอัลบั้มแน่นแล้ว ก็เลยเก็บเพลง จม ไว้อัลบั้มนี้ ซึ่งมันเป็นเพลงที่มีกลิ่นของ NUM KALA มากที่สุด ก็เลยปล่อยออกมาเป็นเพลงแรก
เพลง จม NUM KALA
เพลงต่อมา คือ กลับไปก่อนได้ไหม ที่คุณเริ่มไปฟีเจอริงกับคนอื่น ทำไมถึงเลือก UrboyTJ มาฟีเจอริงในเพลงนี้
ต้องบอกเรื่องหนึ่งก่อนคือ ผมได้บทเรียนจากที่เคยฟีเจอริงกับ แบงค์ CLASH ซึ่งอันนั้นอยู่ในโปรเจกต์หนึ่ง กับน้องแกรนด์ เดอะ สตาร์ ตอนทำวงกะลารอบ 2 ซึ่งน้องร้องดีมาก เป็นเพลงที่เพราะเลยนะ แต่ครั้งนั้นทำให้ผมรู้สึกว่าปัญหาของเพลงที่มีคนมาฟีเจอริงคือไม่ค่อยดีเวลาเอามาเล่นคอนเสิร์ต เพราะการไปเล่นแล้วเปิดเสียงของเขามาประกอบมันประหลาด ผมเลยพับการฟีเจอริงเอาไว้ตั้งแต่ตอนนั้น
แต่อย่างที่บอกว่าอัลบั้มนี้เราอยากทำอะไรที่ไม่เคยทำมาก่อน และทำเพลงโดยไม่ต้องคิดถึงกรอบอะไร ก็เลยเอาความคิดฟีเจอริงกับคนอื่นมาอีกครั้ง ซึ่งเหตุผลที่เป็น UrboyTJ ก็เพราะผมติดตามและชอบงานของเขา ก็เลยนั่งทำบีต แต่งเพลงฮิปฮอปออกมาเลย แต่งไปถึงท่อนแรปแล้วนะ (หัวเราะ) แต่พอส่งไปให้ TJ ก็เอานั้นท่อนออก แล้วให้ TJ ทำท่อนแรปของเขามาเอง ซึ่งงานนี้ถือว่าเป็นงานพิเศษ ที่อาจจะไม่ได้เอามาเล่นในคอนเสิร์ตด้วยนะ (หัวเราะ)
คุณไม่อยากขึ้นไปเต้นเพลงนี้บนเวทีคอนเสิร์ตเหรอ แฟนๆ น่าจะอยากเห็นนะ
จะบอกว่าผมยังเขินทุกครั้งที่ต้องเต้น แต่อย่างที่บอกว่าอยากข้ามขีดจำกัด เลยบอกที่ค่ายว่าไม่อยากทำมิวสิกวิดีโอที่แค่มาเดินหล่อๆ อุ่นๆ เขาเลยคิดบทให้เราสวมบทเป็นตำรวจแล้วเต้น ซึ่งเจ๋งมากนะ ผมจอยมากที่ได้ทำ แต่พอถึงตอนนี้ก็ยังเขินทุกครั้งที่มีคนขอให้เต้นอยู่ดี (หัวเราะ)
ถ้าทางค่ายเสนอคอนเซปต์เต้นมาตั้งแต่อัลบั้มก่อนหน้านี้จะเป็นอย่างไร
ไม่เอาแน่ๆ ไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน (หัวเราะ)
เพลง กลับไปก่อนได้ไหม NUM KALA Feat. UrboyTJ
ต่อที่เพลง ไม่อาจหยุดรัก ที่ฟีเจอริงกับ บอย พีซเมคเกอร์
พี่บอยถือว่าเป็นพี่ชายที่เคารพรักในวงการ เคยคุยกันว่าถ้าทำคอนเสิร์ตใหญ่อีกรอบหนึ่งอยากให้เขามาเป็นแขกรับเชิญ แล้วบอกว่าถ้ามีเพลงใหม่พี่มาร้องให้ผมสักเพลงนะ แกก็บอกได้เลย สำหรับหนุ่มอะไรก็ได้ เลยกลายมาเป็นเพลงนี้ที่ทุกคนได้ฟังกันไปแล้ว ซึ่งทุกคนที่มาร่วมงานในอัลบั้มนี้ผมเป็นคนเลือกเองทั้งหมด
เพลง ไม่อาจหยุดรัก – NUM KALA Feat. BOY PEACEMAKER
อย่างเพลง ทุกวันได้ไหม ที่เพิ่งปล่อยออกมา นี่คุณก็เป็นคนเลือก ‘พี่เบิร์ด’ มาฟีเจอริงด้วยเหมือนกัน
อันนี้ไม่กล้าใช้คำว่าผมเลือก ใช้คำว่าเขาเลือกผมดีกว่าครับ (หัวเราะ) ช่วงประชุมกับทีมว่าอยากให้ใครมาฟีเจอริงในเพลงนี้ ทุกคนก็พูดเหมือนกันเลยว่าพี่เบิร์ดไง แต่นึกออกไหมว่าการใช้คำว่าพี่เบิร์ด เหมือนเป็นคำที่ทุกคนเอาไว้พูดเล่นกันแต่ไม่กล้าคิดจริงๆ เพราะรู้ว่าเราแตะเบื้องบนไม่ได้อยู่แล้ว (หัวเราะ) หลังจากนั้นผมพยายามหาคนมาฟีเจอริงด้วยแต่ไม่ได้ สุดท้ายทีมก็เลยบอกว่างั้นร้องคนเดียว เลยร้องแล้วก็อัดไปจนทุกเพลงเสร็จเรียบร้อย
ทีนี้ผมก็ไปโพสต์เฟซบุ๊กเล่นๆ เพื่อปั่นกระแสว่าอยากให้ผมฟีเจอริงกับนักร้องคนไหนบ้าง แล้วพี่นกน้อย (ผู้จัดการส่วนตัวของพี่เบิร์ด) เห็น เลยส่งข้อความมาบอกว่าพี่มีเด็กในสังกัดอยู่ หนุ่มสนใจไหม ผมก็คิดว่าพี่เขาล้อเล่น เพราะปกติเราคุยเล่นกันอยู่แล้ว แต่คุยกันคุยมา เฮ้ย เรื่องจริงว่ะ (หัวเราะ) เขาให้ส่งเพลงไปให้
ผ่านไป 5 นาที พี่เบิร์ดโทรกลับมาเอง บอกว่าเพลงเพราะนะหนุ่ม เดี๋ยวเราร้องเพลงด้วยกันนะ มาทำสิ่งดีๆ ด้วยกัน แต่เอาจริงๆ ที่พูดมานี่ไม่รู้ว่าถูกไหมนะ เพราะเอาจริงๆ ตอนนั้นผมฟังอะไรไม่รู้เรื่องหรอก หูอื้อไปหมด เพราะพี่เบิร์ดคือเทพเจ้าสำหรับผม (หัวเราะ)
มีเรื่องอะไรน่าประทับใจระหว่างได้ทำสิ่งดีๆ ร่วมกับพี่เบิร์ดในเพลงนี้อยากเล่าให้ฟังบ้างไหม
ความรู้สึกหนึ่งที่ตื่นเต้นมากๆ คือการที่พี่เบิร์ดซ้อมร้องเพลงของเราตั้งแต่ต้นปี แล้วส่งมาทางไลน์ให้ผมบ่อยมาก ตอนนั้นตื่นเต้นมาก แต่ยังให้ใครรู้ไม่ได้ (หัวเราะ) ผมดีใจทุกครั้งจริงๆ แบบไม่ได้แกล้งทำเลย เพราะนี่คือคนที่ผมได้ยินแต่เสียง เคยเห็นในทีวี แล้วเทิดทูนมาตลอด
แต่วันนี้ได้เห็นภาพแกออกกำลังกายแล้วซ้อมร้องเพลงของเรา ซึ่งพี่เบิร์ดเรียนร้องเพลงทุกเช้านะครับ ซ้อมร้องเพลงทุกวัน ซ้อมจนผมละอายตัวเอง (หัวเราะ) พูดคำเดียวเลยว่าไม่ดังก็ไม่เสียดาย ผมตายตาหลับแล้ว
หนังสั้นประกอบ เพลง ทุกวันได้ไหม
นอกจากทุกคนที่พูดถึงมา มีศิลปินคนไหนอีกบ้างที่คุณภูมิใจนำเสนอมากที่สุดที่ได้ร่วมงานกันในอัลบั้มนี้
จริงๆ ภูมิใจนำเสนอทุกคน แต่มีอีกคนหนึ่งที่อยากพูดถึง เป็นคนที่มาฟีเจอริงในเพลงสุดท้ายของอัลบั้มที่ผมอยากนำเสนอมากๆ ก็คือพ่อของผมเอง มันคือการข้ามข้อจำกัดไปหมดแล้วจริงๆ รวมทั้งการเอาลูกสาวมาถ่ายปกก็เหมือนกัน (หัวเราะ) มันเลยเป็นการทำงานที่ผมเอ็นจอยที่สุดตามชื่ออัลบั้มจริงๆ เพราะฉะนั้นผมจะไม่เสียใจเลยถ้าอัลบั้มนี้จะไม่มีเพลงดังสักเพลง เพราะทุกเพลงได้ทำหน้าที่ของมันหมดแล้ว
เพลงที่ฟีเจอริงกับคุณพ่อ สำคัญกับ NUM KALA อย่างไร
พ่อคือความ JOY แรกของผม สายเลือดของเขาทำให้ผมเป็นนักร้อง ก็เลยคิดว่าเพลงสุดท้ายควรเป็นความ JOY กับเขา พอโทรไปคุยถามว่า ป๋า เอาไหม เขาก็ขำแล้วถามว่าได้เหรอลูก แล้วความลับก็คือผมไม่ให้ค่ายฟังเพลงเลย จนทำเสร็จค่อยส่งไปให้เขาฟังด้วยนะ (หัวเราะ)
ความรู้สึกของคุณพ่อในวันที่ไปอัดเพลงเป็นอย่างไรบ้าง
เขาดีใจมาก เขามีความฝันอยากเป็นนักร้อง แล้วเหมือนเราเติมความฝันให้เขา อีกอย่างคือ ผมเขียนเพลงนี้เป็นตัวแทนให้พ่อพูดถึงแม่ เพราะพ่อกับแม่ผมเลิกกันแล้วเขาไม่เคยมีใครอีกเลยมาเป็น 20 ปี
พอเขียนเสร็จก็เอาไปให้แม่ฟัง แม่บอกว่าเพราะดีนะ แต่ง่วงมากเลย (หัวเราะ) ผมเลยบอกว่าแบบนั้นถูกต้องแล้ว เพราะผมตั้งใจให้เป็นเพลงสุดท้ายที่พอฟังอัลบั้มนี้มาทั้งหมดให้เพลงนี้เป็นเพลงกล่อมนอนแล้วหลับไปพร้อมกัน