จุดเปลี่ยนสำคัญของ NSL Foods เริ่มจากการส่ง ‘แซนด์วิชอบร้อน’ เข้าไปวางขายในร้าน 7‑Eleven มากกว่า 1 ล้านชิ้นต่อวัน เรียกว่าสัดส่วนรายได้กระจุกตัวอยู่กับช่องทางเซเว่นอยู่ที่ 80%
แต่ สมชาย อัศวปิยานนท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ็นเอสแอล ฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) ยืนยันว่าแม้รายได้ส่วนใหญ่จะมาจากช่องทางร้านสะดวกซื้อ แต่บริษัทไม่ได้มีความเสี่ยงแต่อย่างใด เพราะเป็นพาร์ทเนอร์กับ 7‑Eleven และได้ทำสัญญาร่วมกันมานานแล้ว
โดยปัจจุบันสินค้าเบเกอรี่จาก NSL มากกว่า 40 รายการ วางขายใน 7‑Eleven กว่า 12,000 สาขา โดยสินค้าแซนด์วิชอบร้อนขายดีที่สุด สามารถผลิตได้ถึง 200,000 – 300,000 ชิ้นต่อวัน
สมชาย กล่าวต่อไปว่า ในครึ่งปีหลังภาวะเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในช่วงชะลอตัว เงินเฟ้อทำให้ค่าครองชีพของผู้บริโภคสูงขึ้น แน่นอนว่าหลาย ๆ ธุรกิจอาจได้รับผลกระทบ แต่สวนทางกับธุรกิจอาหารที่ยังเป็นปัจจัยสี่ในชีวิตประจำวันของผู้คน อาจยังไม่กระทบมากนัก และที่สำคัญจุดแข็งของ NSL Foods เป็นสินค้าที่ทานง่ายและราคาเริ่มตั้งแต่ 29-35 บาท อาจไม่แพงมากในสายตาผู้บริโภค
จากแนวโน้มตลาดที่ยังพอมีโอกาสเติบโต จากนี้บริษัทจะมีการเปิดตัวสินค้าใหม่ตามเทรนด์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งสินค้าใหม่จะมีเฉลี่ย 5-6 รายการต่อเดือน หรือราว 50 รายการต่อปี โดยจะสามารถสร้างโอกาสในการขายเพิ่มขึ้นด้วย
นอกจากนี้ยังได้ลงทุน 800 ล้านบาท สร้างโรงงานแห่งใหม่ที่ชลบุรี ปัจจุบันเริ่มตอกเสาเข็มไปแล้ว คาดว่าเฟสแรกจะแล้วเสร็จในช่วงกลางปี 2569 และจะเพิ่มกำลังผลิตแซนด์วิชอบร้อนจากเดิมที่ผลิตได้ 250,000-300,000 ชิ้นต่อวัน เพิ่มขึ้นเป็น 700,000 ชิ้นต่อวัน
โรงงานแห่งใหม่จะถูกใช้เป็นฐานผลิตสินค้าส่งออกด้วย ไม่ว่าจะในกลุ่มขนมหวาน, อาหารแช่แข็ง (Frozen) และอาหารพร้อมทานข้าวแท่ง โดยรวมแล้วโรงงานแห่งนี้จะมีกำลังผลิตรวมทั้งหมด 1.4 ล้านชิ้นต่อวัน สามารถรองรับการเติบโตไปได้อีก 5-6 ปี
ขณะเดียวกันในส่วนของโรงงานในจังหวัดชลบุรี ยังได้รับผลกระทบด้านแรงงาน จากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา จากเดิมแล้วพนักงานที่มีอยู่ราว 3,000 คน ประมาณ 70% เป็นแรงงานข้ามชาติ อาทิ พม่า, กัมพูชาและลาว เมื่อมีสถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นทำให้แรงงานกัมพูชาบางส่วนต้องเดินทางกลับประเทศ ซึ่งต้องบอกว่าบริษัทไม่มีนโยบายผลักดันแรงงานกลับประเทศและยังสร้างความมั่นใจเพื่อให้พนักงานอยู่ต่อด้วยเช่นกัน
สำหรับทิศทางการดำเนินงานต่อจากนี้ NSL Foods เน้น 3 กลยุทธ์หลัก เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน 1.Engagement ร่วมมือพันธมิตรเสริมศักยภาพสินค้า ที่ผ่านมา NSL ให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับคู่ค้าและลูกค้า ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยเฉพาะพันธมิตรหลักอย่าง 7-Eleven ที่ร่วมมือกันพัฒนาสินค้านวัตกรรม ตอบโจทย์เทรนด์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
2.Expansion รุกขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ บริษัทเดินหน้าขยายโอกาสทางธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งบริษัทย่อยหรือเข้าซื้อกิจการเพื่อเสริมแกร่ง เช่น NSL INTERTRADE (2023) Co., Ltd. ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศที่เกิดจากการเข้าซื้อโรงงาน PNF ผู้เชี่ยวชาญด้านเกษตรแปรรูปกว่า 20 ปี ปัจจุบันส่งออกน้ำมะพร้าว กะทิ และน้ำผลไม้ไปยังกว่า 15 ประเทศทั่วโลก มีลูกค้ารายใหญ่กว่า 100 ราย
ตามด้วยธุรกิจ Food Services (HoReCa) ผ่านโรงงาน NSL สาขา 5 ที่ผลิตและแปรรูปสินค้าเนื้อสัตว์ให้กับโรงแรม ร้านอาหาร และธุรกิจจัดเลี้ยง ซึ่งเติบโตตามอุตสาหกรรมท่องเที่ยว รวมถึงธุรกิจเนยแข็ง ที่ใช้เป็นวัตถุดิบในเครือและจำหน่ายทั่วไป และ Bake A Wish ที่เข้าถือหุ้น 60% ปัจจุบันมี 60 สาขา ในปีนี้ยังไม่มีแผนขยายสาขา แต่จะเน้นปรับปรุงสาขาเดิมให้ทันสมัยขึ้น
3. Exponential Growth เร่งเติบโตด้วยนวัตกรรม มุ่งพัฒนาสินค้าและบริการเพื่อตอบโจทย์ตลาดเฉพาะกลุ่ม พร้อมสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา (R&D) ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าให้แข่งขันได้ในระดับสากล
สุดท้ายแล้วบริษัทได้วางเป้าหมายภายในสิ้นปี 2568 จะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากการส่งออกจาก 0.5% เป็น 5% หรือประมาณ 300–350 ล้านบาท โดยตลาดหลักประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา 50% สหราชอาณาจักรและยุโรป 15% และตะวันออกกลาง 5–6%