แฟนฟุตบอลที่เป็น Gen Z เรื่อยมาจนถึง Alpha (Beta ฟันยังไม่ขึ้นขออนุญาตยังไม่นับ) อาจจะไม่คุ้นกับชื่อของ ไบรอัน คลัฟ เท่าไรนัก
แต่สำหรับแฟนฟุตบอลที่พอมีอายุสักหน่อยตั้งแต่ Gen X และ Gen Y ขึ้นมาน่าจะคุ้นๆ กับชื่อของอดีตผู้จัดการทีมระดับอัจฉริยะของวงการในยุค 70-80 ผู้มีฝีปากคมและจัดจ้านจนได้รับสมญาว่า ‘กุนซือปากตะไกร’
ผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคลัฟ (หรือคลัฟจี้ที่เขาเรียกขานกันในวันนั้น) คือการพาทีมน็อตติงแฮม ฟอเรสต์ จากทีมระดับดิวิชัน 2 ก้าวขึ้นมาครองแชมป์ฟุตบอลดิวิชัน 1 ของอังกฤษ ซึ่งเทียบเท่าได้กับพรีเมียร์ลีกในปัจจุบัน ได้ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 2 ปี
ไม่เพียงเท่านั้น คลัฟยังพาทีม ‘เจ้าป่า’ ไปผงาดถึงขั้นพิชิตถ้วยยูโรเปียนคัพหรือยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในปัจจุบันได้ด้วย และไม่ใช่ได้แค่สมัยเดียว แต่เป็นการได้ถึง 2 สมัยติดต่อกัน!
ตำนานเจ้าป่ามหัศจรรย์ครั้งนั้นเป็นหนึ่งในเรื่องราวฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวงการฟุตบอลอังกฤษ ที่สนุกไม่แพ้ตำนานหงส์แดงตะแคงฟ้าของลิเวอร์พูล หรือตำนานกองพันอสูรแดงของ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่พาแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปสู่การเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอังกฤษ
อย่างไรก็ดี ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาฟอเรสต์ไม่เคยกลับมายิ่งใหญ่ได้อีกเลย
จนกระทั่งวันนี้ที่เสียงเชียร์กลับมาดังกระหึ่มสนามซิตี้กราวด์ของพวกเขาอีกครั้ง เมื่อทีมของ นูโน เอสปิริโต ซานโต กลายเป็นหนึ่งในเรื่องเซอร์ไพรส์ที่สุดของฤดูกาลเมื่ออยู่ในอันดับที่ 3 ของตารางพรีเมียร์ลีก มีแต้มเท่ากับอาร์เซนอลรองจ่าฝูงที่ 40 คะแนน – ซึ่งเป็นเกณฑ์ขั้นต่ำของทีมที่หนีตกชั้น – ตามหลังจ่าฝูงลิเวอร์พูล 6 คะแนน
โดยที่ 6 นัดหลังสุดในพรีเมียร์ลีกฟอเรสต์ชนะรวด จนทำให้เริ่มมีการตั้งคำถามที่น่าสนใจ
พวกเขาดีพอสำหรับการลุ้นชิงอันดับท็อปโฟร์เพื่อกลับไปโชว์ตัวในเวทียุโรปอีกครั้งหรือไม่? หรือจะหวังไกลกว่านั้นด้วยการขึ้นมาขอลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก สร้างตำนานเทพนิยายลูกหนังที่ยิ่งใหญ่เหมือนที่เลสเตอร์ ซิตี้ เคยทำได้ในฤดูกาล 2015/16
เรื่องนี้คืนนี้พวกเขาจะตอบคำถามนี้เมื่อจะได้รับมือกับลิเวอร์พูลจ่าฝูง
แต่ก่อนนั้นมีบางสิ่งบางเรื่องที่น่าสนใจที่อยากชวนรู้และทำความเข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับฟอเรสต์นั้นไม่ได้เป็นเรื่องของความบังเอิญ หรืออาศัยอิทธิฤทธิ์เจ้าป่าเจ้าเขาแต่อย่างใด
การคืนชีพที่น่าเหลือเชื่อ
ความจริงฟอเรสต์ควรจะต้องกลับไปเล่นในเดอะแชมเปียนชิปแล้วในฤดูกาลนี้
เรื่องนี้ไม่ใช่หยอกกันเล่น เพราะในฤดูกาลที่แล้วซึ่งเป็นฤดูกาลที่ 2 ที่พวกเขาได้กลับมาสู่ลีกสูงสุดอีกครั้ง ฟอเรสต์เก็บแต้มได้เพียงแค่ 32 คะแนนเท่านั้น โดยที่ทีมยังโดนลงโทษตัดแต้มจากการละเมิดกฎการเงิน Profit and Sustainability Rules (PSR) ที่โดนตัดไป 4 คะแนนด้วยกัน เหลือเพียงแค่ 28 คะแนน
ต่อให้ไม่โดนตัดแต้ม 32 คะแนนของฟอเรสต์นั้นหากเป็นฤดูกาลอื่นในประวัติศาสตร์ของพรีเมียร์ลีกแล้วพวกเขาจะต้องตกชั้นถึง 26 จาก 28 ฤดูกาลเลยทีเดียว
แต่พวกเขารอดตกชั้นมาได้เพราะลูตัน ทาวน์ (26), เบิร์นลีย์ (24) และเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด (16) มีผลงานที่เลวร้ายกว่า ซึ่งเป็นฤดูกาลที่ทีมตกชั้นเก็บแต้มได้น้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของพรีเมียร์ลีกเลยทีเดียว
อย่างไรก็ดี นูโน เอสปิริโต ซานโต บอสใหญ่ที่เข้ามารับตำแหน่งแทนที่ของ สตีฟ คอปเปลล์ อดีตผู้จัดการทีมที่พาทีมเลื่อนชั้นกลับมาได้สำเร็จในปี 2022 ก่อนจะโดนปลดจากตำแหน่งในช่วงปลายฤดูกาลเดือนเมษายน 2023 เพราะผลงานเสี่ยงต่อการตกชั้น ได้พลิกโชคชะตาของสโมสรได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
จากทีมที่ลุ้นหนีตกชั้นอย่างหนักในฤดูกาลที่แล้ว ทีมของนูโนกลายเป็นหนึ่งในทีมที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในพรีเมียร์ลีกและน่าจับตามองอย่างมาก
เพราะสไตล์การเล่นของพวกเขาแตกต่างจากสมัยนิยมอย่างมาก
พูดน้อยต่อยมันเลย!
โดยสไตล์การทำทีมของนูโนนั้นมีลายเซ็นที่ค่อนข้างชัดมาตั้งแต่สมัยที่ย้ายจากโปรตุเกสมาสร้างชื่อกับวูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส เมื่อหลายปีก่อน
สไตล์นั้นคือการเล่นเกมรับที่เหนียวแน่น และใช้เกมสวนกลับที่ทรงประสิทธิภาพเล่นงานคู่ต่อสู้
ในช่วงแรกที่เข้ารับตำแหน่งในเดือนสุดท้ายของฤดูกาล 2022/23 และตลอดฤดูกาลที่แล้ว 2023/24 นูโนยังไม่สามารถสร้างทีมที่เล่นในแบบที่เขาต้องการได้มากนัก แม้ว่าทางเจ้าของ เอวานเจลอส มารินาคิส มหาเศรษฐีชาวกรีซจะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ด้วยการซื้อผู้เล่นเข้ามามากมาย (จนดูเหมือนเยอะเกินไปหมด)
แต่ในฤดูกาลนี้ฟอเรสต์สามารถเล่นในแบบที่นูโนต้องการได้เต็มๆ และดูเหมือนจะพัฒนาไปไกลและรวดเร็วกว่าที่คาดด้วย
ในขณะที่ทีมระดับกลางที่ทำผลงานได้ดีหลายทีมเน้นสไตล์การเล่นแบบ Positional Play ที่เน้นการครองบอล และค่อยๆ เจาะเกมรับคู่ต่อสู้ด้วยการเคลื่อนของบอลและตัวผู้เล่นอย่างมีระบบแบบแผน เช่น เบรนท์ฟอร์ด, ไบรท์ตัน หรือบอร์นมัธ แต่ฟอเรสต์ไม่เน้นในเรื่องพวกนี้เลย ดูได้จาก
- ค่าเฉลี่ยในการครองบอลของฟอเรสต์ในฤดูกาลนี้อยู่เพียงแค่ 35.5 เปอร์เซ็นต์ เป็นอันดับบ๊วยของพรีเมียร์ลีก
- ในแต่ละเกมมีการผ่านบอลเกิน 10 ครั้ง (10+ Passes Consequences) เพียงแค่ 6.1 เป็นอันดับที่ 19 ของลีก
- การเพรสในแดนสุดท้าย (Final Third Pressures) แค่ 48.2 อยู่ในอันดับที่ 19 เช่นกัน
- ค่า PPDA (ไม่ใช่ PDPA นะ) หรือ Passes Per Defensive Action ค่าการผ่านบอลไปมาของคู่แข่งในแดนรับ (Defensive Third หรือศัพท์บอลไทยจะเรียกว่าแดนหนึ่ง) ที่ทีมที่เป็นฝ่ายเพรสซิงเปิดโอกาสให้ผ่านบอล – ซึ่งยิ่งเยอะหมายถึงประสิทธิภาพของการเพรสซิงไม่ดี – ของฟอเรสต์อยู่ที่ 15.9 (คือปล่อยให้คู่แข่งเคาะบอลไปมาในแดนรับ) อยู่ในอันดับสุดท้ายของพรีเมียร์ลีก
ค่าพวกนี้แตกต่างจากค่าเฉลี่ยอีกชุดอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น
- การเคลียร์บอล (Clearances) เฉลี่ย 27.8 ต่อเกม เป็นอันดับ 1 ของพรีเมียร์ลีก
- Defenders Behind Ball จำนวนกองหลังต่อโอกาสการโดนยิง 4.1 (แปลว่าลงไปรับลึก) สูงเป็นอันดับ 1 ของพรีเมียร์ลีกเหมือนกัน
- ระยะทางเฉลี่ยต่อการโดนยิง (Average Distance of Shot Faced) อยู่ที่ 17.6 หลา เป็นอันดับ 2 ของพรีเมียร์ลีก (แปลว่าแทบไม่เปิดโอกาสให้ยิงในกรอบ 18 หลาเลย)
- สุดท้ายคือค่า xG Per Shot Faced หรือค่าคาดการณ์การเสียประตูต่อโอกาสในการยิง อยู่ที่ 0.082 คิดเป็นอันดับ 1 ของพรีเมียร์ลีก
ดังนั้นเกมรับที่ประกอบไปด้วย มูริลโล, นิโก วิลเลียมส์, นิโกลา มิเลนโควิช และ โอลา ไอนา คือรากฐานสำคัญของพวกเขาอย่างแท้จริง ที่ไม่เปิดโอกาสให้คู่แข่งมีโอกาสเจาะเข้ามาง่ายๆ
เพียงแต่เกมรับไม่ใช่จุดแข็งเพียงอย่างเดียว
เหล่า Merry Men
ตามตำนานอมตะของเมืองน็อตติงแฮม ไม่มีใครไม่รู้จักโรบินฮู้ด จอมโจรคุณธรรมแห่งป่าเชอร์วูดผู้ปล้นคนรวยเพื่อช่วยคนจน
แต่โรบินฮู้ดไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพัง เขายังมีผองเพื่อนอย่าง ลิตเติล จอห์น, วิลล์ สการ์เล็ต, เมด มาเรียน และอีกหลายคนในนามของกลุ่ม ‘Merry Men’ คอยช่วยเหลือและอยู่เคียงข้างด้วย
ทีมน็อตติงแฮม ฟอเรสต์ เวลานี้ก็เช่นกัน พวกเขามี Merry Men ยุคใหม่ที่ประกอบไปด้วยตัวรุกที่จัดจ้านแพรวพราวและมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น
คริส วูด (33 ปี) หัวหอกจอมแกร่งชาวนิวซีแลนด์ที่ย้ายมาจากนิวคาสเซิลในปีที่แล้ว แต่ระเบิดผลงานและกลายเป็นหนึ่งในศูนย์หน้าตัวเป้าที่ดีที่สุดของพรีเมียร์ลีก ด้วยสไตล์การเล่นที่แข็งแกร่ง เก่งลูกกลางอากาศแต่ก็มีทักษะการเล่นดีและแน่นอนพอจะทำสกอร์ได้ทุกรูปแบบในกรอบเขตโทษ
คัลลัม ฮัดสัน-โอดอย (24 ปี) อดีตปีกดาวโรจน์ของเชลซีที่เหมือนจะหลงทางไปแล้ว แต่กลับมาระเบิดผลงานได้อย่างสุดยอดในฤดูกาลนี้ในฐานะปีกซ้ายที่อันตรายที่สุด ความเร็วของเขาหาตัวจับได้ยากแถมยังสร้างโอกาสหรือจบสกอร์ได้เองด้วย
แอนโทนี เอลังกา (22 ปี) อดีตปีกดาวรุ่งของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่มีความเร็วระดับสายฟ้าไม่ต่างจากฮัดสัน-โอดอย ทำให้เกมรุกทางริมเส้นของฟอเรสต์อันตรายสุดๆ เพราะแค่สาดทิ้งมาริมเส้นก็มีปีกสายฟ้าพร้อมเอาบอลไปเล่นแล้ว
มอร์แกน กิบส์-ไวต์ (24 ปี) มันสมองของทีม เพลย์เมกเกอร์ตัวกลั่นในแบบ ‘หมายเลข 10’ ที่หาได้ยากในยุคนี้ กิบส์-ไวต์เป็นหนึ่งในดาวรุ่งพรสวรรค์ของวงการฟุตบอลอังกฤษที่โดดเด่นที่สุด และเป็นลูกหม้อของวูล์ฟส์ที่นูโนรู้จักเป็นอย่างดี การครีเอตเกมของเขาตอนนี้ไม่เป็นรองใครแล้ว
ทั้ง 4 คนนี้ต่างผสมผสานการเล่นเข้ากับสไตล์และแท็กติกของทีมได้เป็นอย่างดี จนทำให้เกมรุกสายฟ้าฟาดของฟอเรสต์อันตรายสุดๆ และหาทีมที่รับมือได้ยากมาก
หนึ่งในทีมที่เจอทีเด็ดมาแล้วก็คือลิเวอร์พูล ที่พ่ายคาแอนฟิลด์นั่นเอง
ฟอเรสต์จะลุ้นแชมป์?
ด้วยผลงานขนาดนี้ และโอกาสที่จะได้วัดฝีมือกับลิเวอร์พูลในบ้านของตัวเอง โดยที่หากชนะจะทำให้ระยะห่างระหว่างพวกเขากับจ่าฝูงเหลือเพียงแค่ 3 แต้มเท่านั้น ทำให้หลีกหนีการถูกตั้งคำถามยากๆ ว่า ‘จะได้ลุ้นแชมป์ไหม?’
เรื่องนี้ คริส วูด พยายามเบรกทุกคนก่อนว่าอย่าเพิ่งไปไกล “มันยังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงเรื่องนี้ เราไม่ได้คิดถึงเรื่องพวกนี้เลย”
“มันเป็นเรื่องของความสม่ำเสมอและการทำในสิ่งที่เราทำได้ดีอยู่แล้วในฤดูกาลนี้คือการไม่พลาด พวกเราจะพยายามทำในสิ่งที่ทำได้ดีมากๆ ในช่วง 19 นัดที่ผ่านมาต่อไป”
ขณะที่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของ Opta บอกว่ามีฟอเรสต์โอกาสได้ลุ้นแชมป์!
แต่ค่าเฉลี่ยอยู่ที่แค่ 0.09 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่จะทำได้เหมือนเลสเตอร์ ซิตี้ ที่สร้าง ‘เทพนิยายจิ้งจอก’ ในฤดูกาล 2015/16
แต่สิ่งที่เป็นไปได้มากกว่าคือการจบฤดูกาลด้วยการเป็นทีมท็อปโฟร์ โดยตามการคำนวณล่าสุดโอกาสในการจบด้วยการเป็นท็อปโฟร์อยู่ที่ 34.4 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ความเป็นไปได้มากที่สุดคือพวกเขาน่าจะจบฤดูกาลด้วยการเป็นทีมอันดับที่ 5 จากการคำนวณด้วยโมเดลที่แตกต่างกัน 10,000 ครั้ง ซึ่งจบด้วยการเป็นทีมอันดับที่ 5 ถึง 2,200 ครั้ง (22 เปอร์เซ็นต์)
อย่างไรก็ดี ไมเคิล โอเวน อดีตศูนย์หน้าระดับตำนานพรีเมียร์ลีก (ของทีมไหนดี?) พยายามเชียร์ให้ฟอเรสต์ไปต่อให้ไกลที่สุด
“ทำไมพวกเขาถึงไม่ควรฝันล่ะ? นี่แหละคือสิ่งที่เกมฟุตบอลควรจะเป็น”
เดี๋ยวรอก่อนเถอะ ให้จบเกมที่ซิตี้กราวด์คืนนี้ก่อน
ถ้าเกิดชนะลิเวอร์พูลได้ขึ้นมา…ไม่รู้ด้วยแล้ว!
อ้างอิง: