‘Nothing Phone’ ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนจากสหราชอาณาจักรเล็งท้าชนบริษัทไอทียักษ์ใหญ่อย่าง Apple หลังประกาศแผนตีตลาดในสหรัฐฯ
คาร์ล เพ่ย ผู้ก่อตั้งบริษัทสมาร์ทโฟน OnePlus และซีอีโอคนปัจจุบันของ Nothing Phone บอกกับ CNBC ว่ากำลังอยู่ในช่วงเจรจากับผู้ให้บริการในอเมริกาเกี่ยวกับการเปิดตัวสมาร์ทโฟนใหม่ในสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้บอกว่าคุยกับผู้ให้บริการใดบ้าง
“ตอนนี้เรากำลังเจรจากับผู้ให้บริการบางรายในสหรัฐฯ เพื่อเปิดตัวผลิตภัณฑ์แห่งอนาคตที่นั่น” เขากล่าว
ในเดือนกรกฎาคม Nothing ได้เปิดตัว Phone (1) ซึ่งเป็นอุปกรณ์ระดับกลางที่มีดีไซน์ ราคา และสเปกใกล้เคียงกับ iPhone SE สมาร์ทโฟนระดับเริ่มต้นของ Apple
บริษัทซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก โทนี่ ฟาเดลล์ ผู้สร้าง iPod และ Venture Capital ของ Alphabet ได้ทำการเปิดตัวสมาร์ทโฟนเฉพาะในยุโรป ตะวันออกกลาง และเอเชียเท่านั้น ไม่รวมสหรัฐอเมริกาหรือแคนาดา
“ที่เราไม่ได้เปิดตัว (สมาร์ทโฟน) ในสหรัฐฯ และแคนาดา เพราะว่าเราต้องมีการสนับสนุนทางเทคนิคเพิ่มเติมจำนวนมากเพื่อรองรับผู้บริการทั้งหลายและการปรับแต่งเฉพาะที่พวกเขาต้องการ” เขาอธิบายในการให้สัมภาษณ์กับ CNBC “ตอนนั้นเรารู้สึกว่าเราไม่พร้อม”
แม้สายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของ Apple และ Samsung กับผู้ให้บริการรายใหญ่ในสหรัฐฯ จะทำให้บริษัทเล็กๆ เติบโตได้ยาก แต่ยอดขายกว่า 1 ใน 3 ของหูฟัง ‘Ear’ ของ Nothing Phone นั้นมาจากสหรัฐฯ “แน่นอนว่ามันเป็นตลาดที่มีความสนใจต่อผลิตภัณฑ์ของเราอยู่แล้ว และหากเราจะเปิดตัวสมาร์ทโฟนที่นั่น ผมมั่นใจว่าเราจะเติบโตได้อย่างมาก” เพ่ยกล่าว
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่ากำไรในปี 2022 จะมากกว่าปีที่แล้วถึง 10 เท่า หรือจากราว 20 ล้านดอลลาร์ในปี 2021 สู่ประมาณ 250 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ นอกจากนี้บริษัทยังรับพนักงานเพิ่มอีกด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น บริษัทยังคงแบกรับต้นทุนค่าใช้จ่ายจำนวนมากอยู่
“เป้าหมายคือการทำกำไรในปี 2024” เพ่ยกล่าว “ตอนนี้เราไม่ได้กำไร และปีนี้เราทำกำไรได้ยากขึ้นเนื่องจากการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เราจ่ายต้นทุนขายเป็นจำนวนมากในสกุลเงินดอลลาร์ แต่เรามีรายรับเป็นเงินปอนด์ ยูโร หรือรูปีอินเดีย ดังนั้นทุกอย่างจึงลดค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- เศรษฐกิจไม่ดีทำ iPhone 14 ไม่ปังอย่างที่คิด Apple สั่งโรงงาน ‘ลดกำลังการผลิตลง’ ทำหุ้นซัพพลายเออร์ร่วงถ้วนหน้า
- สื่ออเมริกาตกใจ ‘iPhone 14’ ไม่ขึ้นราคา แต่ไม่ใช่ในไทยที่รุ่นเริ่มต้นเพิ่มขึ้น ‘อย่างน้อย 2,000 บาท’ แถมแพงกว่าญี่ปุ่นทั้งที่เงินเยนอ่อนค่ากว่ามาก
- ต้นทุน iPhone 14 เพิ่มขึ้น 20% จากรุ่นก่อนหน้า คาด Apple แบกภาระไว้เอง จึงไม่ขึ้นราคาขายในอเมริกา
อ้างอิง: