เกาหลีเหนือประกาศความสำเร็จในการทดสอบขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง (Hypersonic Missile) ที่เรียกว่า Hwasong-8 เมื่อวันอังคาร (28 กันยายน) ที่ผ่านมา โดยสำนักข่าว KCNA ซึ่งเป็นสื่อของรัฐบาลเกาหลีเหนือ รายงานว่า ขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกเป็น 1 หนึ่งใน 5 ระบบอาวุธยุทโธปกรณ์ใหม่ที่ ‘สำคัญที่สุด’ ที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนาทางทหารระยะ 5 ปี และเรียกขีปนาวุธใหม่นี้ว่า ‘อาวุธยุทธศาสตร์’ ซึ่งโดยปกติแล้วจะหมายความว่าขีปนาวุธนั้นมีความสามารถด้านนิวเคลียร์
การทดสอบขีปนาวุธเมื่อวันอังคารเป็นอีกสัญญาณบ่งชี้ถึงความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีอาวุธของเปียงยาง ท่ามกลางการคว่ำบาตรที่เข้มงวดจากนานาประเทศ
“การพัฒนาระบบอาวุธนี้…ได้เพิ่มขีดความสามารถของประเทศในการป้องกันตัวเองในทุกวิถีทาง” สำนักข่าว KCNA รายงาน
การทดสอบครั้งล่าสุดเป็นการทดสอบขีปนาวุธครั้งที่ 3 ของเกาหลีเหนือในเดือนนี้เพียงเดือนเดียว โดยก่อนหน้านี้เกาหลีเหนือได้เปิดตัวขีปนาวุธร่อน (Cruise Missile) และระบบขีปนาวุธบนรางรถไฟ (Railway-launched Missile System) ซึ่งเป็นขีปนาวุธชนิดใหม่ของประเทศ
สำหรับขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกนั้นรวดเร็วและปราดเปรียวกว่าขีปนาวุธปกติมาก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ระบบป้องกันขีปนาวุธสกัดกั้นได้ยากขึ้นมาก
KCNA ระบุว่า การทดสอบวานนี้ช่วยยืนยัน ‘การควบคุมการนำทางและความเสถียรของขีปนาวุธ’
อันคิต แพนดา นักวิจัยอาวุโส (Stanton Senior Fellow) แห่ง Carnegie Endowment for International Peace กล่าวว่า ณ จุดนี้ เป็นเรื่องยากที่จะประเมิน ‘ความสามารถที่แม่นยำ’ ของขีปนาวุธ แต่เสริมว่าขีปนาวุธใหม่นี้ ‘น่าจะนำเสนอความท้าทายที่แตกต่างกันมากสำหรับการป้องกันขีปนาวุธจากขีปนาวุธแบบดั้งเดิม’
นอกจากนี้การทดสอบขีปนาวุธครั้งล่าสุดยังถือเป็นการเปิดตัวหลอดเก็บเชื้อเพลิงขีปนาวุธเป็นครั้งแรกของเกาหลีเหนือด้วย ซึ่งแพนดามองว่าเป็น ‘ก้าวสำคัญ’ สำหรับประเทศ
The Korea Times รายงานว่า หลอดเก็บเชื้อเพลิงขีปนาวุธจะ ‘ลดเวลาในการเตรียมการยิงขีปนาวุธ และทำให้อาวุธพร้อมใช้งานเกือบจะเร็วเท่ากับขีปนาวุธที่ใช้เชื้อเพลิงแข็ง เมื่อเทียบกับขีปนาวุธทั่วไปที่ต้องอัดฉีดเชื้อเพลิงก่อนทำการยิง”
หลังการทดสอบดังกล่าว คิมซอง ทูตเกาหลีเหนือกล่าวย้ำในเวทีประชุมสมัชชาสหประชาชาติที่นิวยอร์กว่า ไม่มีประเทศใดสามารถปฏิเสธสิทธิ์ของเกาหลีเหนือในการป้องกันตนเองได้ พร้อมย้ำว่าเปียงยางมีสิทธิ์ที่จะพัฒนา ทดสอบ ผลิต และครอบครองระบบอาวุธได้
ภาพ: Jung Yeon-je / AFP
อ้างอิง: