จากความฝันอยากใช้ชีวิตสงบสุขไปกับการพักผ่อนแบบคนธรรมดาต้องจบลง เมื่อภารกิจอันใหญ่หลวงออกไล่ล่าให้เขาต้องกลับคืนสู่วงการสายลับอีกครั้ง ซึ่งการต่อสู้กับวายร้ายในครั้งนี้เดิมพันด้วยชีวิตของมนุษยชาติ เพราะถ้าหากทำพลาดไปแม้แต่นิดเดียว อาวุธจากเทคโนโลยีที่ทรงพลานุภาพนี้ อาจกลืนกินทุกสรรพสิ่งให้ดับสลายได้ภายในพริบตา
No Time to Die เจมส์ บอนด์ ภาคที่ 25 บทสรุปสั่งลาของตำนานสายลับรหัส 007 ในแบบฉบับของ แดเนียล เคร็ก หลังจากรับบทนี้มาตลอด 15 ปี นับตั้งแต่ Casino Royale (2006), Quantum of Solace (2008), Skyfall (2012) และ Spectre (2015)
จุดเริ่มต้นจักรวาล เจมส์ บอนด์ เป็นตัวละครจากปลายปากกาของนักเขียนชาวอังกฤษอย่าง เอียน เฟลมมิง ซึ่งปรากฏอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ และความทรงจำของผู้ชมมายาวนานถึง 59 ปีเต็ม ซึ่งตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เจมส์ บอนด์ คือตัวละครที่มีนักแสดงมากถึง 6 คน มาร่วมสร้างลมหายใจ และนิยามตัวละครนี้ใหม่ในแบบฉบับของตนเอง
เจมส์ บอนด์ เปิดตัวครั้งแรกในบทบาทการแสดงของ ฌอน คอนเนอรี (คนที่ 1) จากนั้นก็ได้เปลี่ยนตัวนักแสดง และได้ จอร์จ เลเซนบี (คนที่ 2) มารับช่วงต่อ ตามด้วย ฌอน คอนเนอรี กลับมารับบทเดิมอีกครั้ง หลังจากนั้นไม่นานก็มีนักแสดงคนใหม่ชื่อว่า โรเจอร์ มัวร์ (คนที่ 3) มาสานต่อ แต่ก็ต้องมาเปลี่ยนตัวนักแสดงกันอีกครั้ง ซึ่งคนที่มาสวมบทบาทใหม่ก็คือ ทิโมธี ดาลตัน (คนที่ 4) ตามด้วย เพียร์ซ บรอสแนน (คนที่ 5)
จนมาถึงคนสุดท้ายซึ่งก็คือ แดเนียล เคร็ก (คนที่ 6) ที่กำลังจะปิดตำนานบทบาท เจมส์ บอนด์ พยัคฆ์ร้าย 007 ของเขาลงในภาคที่ 25 ซึ่งแม้ว่าในช่วงแรกที่เขาได้มารับบทบาทนี้ในภาคที่ 21 จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ออกไปในหลายรูปแบบ ทั้งกระแสไม่เห็นด้วยและทั้งคำชื่นชม แต่เมื่อเขาได้สวมบทบาท เจมส์ บอนด์ อยู่หลายขวบปี ตัวตนในแบบฉบับบอนด์ที่เขาสร้างขึ้นก็กลายเป็นหนึ่งภาพที่ทำให้แฟนหนังจดจำยอมรับ
และหลายคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า การบอกลาส่งท้ายของ แดเนียล เคร็ก ใน No Time to Die ช่างเหมาะสมแล้วกับการจะถูกบันทึกในฐานะตำนาน
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นหลังจากที่ เจมส์ บอนด์ ได้วางมือจากการเป็นนักสืบรับใช้ทางการมาแล้ว 5 ปี เขาก็เริ่มต้นใช้ชีวิตสงบสุขสุดแสนธรรมดาอย่างที่มนุษย์ทุกคนควรจะได้รับกับ ดร.เมเดอลีน (เลอา เซย์ดูซ์) คนรักของเขา อยู่ในจาเมกา แต่แล้วภารกิจที่มาพร้อมกับภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ ก็ได้วนกลับมาพบเจอกับเขาอีกครั้ง
เมื่อ ฟีลิกซ์ ไลเทอร์ (เจฟฟรีย์ ไรท์) เพื่อนเก่าจากซีไอเอปรากฏตัวขึ้น และได้ขอให้เขากลับคืนสู่วงการ ออกไล่ล่าตัววายร้าย เพื่อช่วยเหลือนักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียที่ถูกลักพาตัวไป แต่เมื่อบอนด์ตัดสินใจทำภารกิจ เขาก็ได้พบเข้ากับเบาะแสส่วนประกอบทีละชิ้น ไปจนถึงอาวุธสังหารที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ ซึ่งมีพลานุภาพรุนแรงเกินกว่าใครจะจินตนาการถึง เพราะมันสามารถทำลายล้างโลกได้ง่ายๆ เพียงพริบตาเดียว!
No Time to Die เปิดเรื่องมาด้วยการย้อนกลับไปสำรวจเหตุการณ์ ก่อนจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดที่จะกลายมาเป็นปมเชื่อมโยงให้เราได้ไปร่วมกันค้นหาคำตอบในองค์สุดท้ายของเรื่อง
จากนั้นจึงตัดสลับกลับมาในปัจจุบัน ความโรแมนซ์ภายใต้บรรยากาศสวยๆ ของ เจมส์ บอนด์ และ ดร.เมเดอลีน คนรักของเขา ทำให้เรานึกถึงกลิ่นอายงานภาพที่มาพร้อมกับการเล่าเรื่องราวความเป็นสายลับของ 007 นอกจากนั้นยังมีการเน้นไดนามิกของฉากไล่ล่า ซึ่งมีมาตั้งแต่ต้นเรื่อง แบบไม่ทันให้ผู้ชมได้ตั้งตัว ไม่ว่าจะเป็นระเบิด สปีดรถ การสาดกระสุน ไปจนถึงอุปกรณ์ไฮเทคที่ประกอบอยู่ในรถคลาสสิก
การจัดองค์ประกอบภาพภายใน No Time to Die มีความเด่นชัดเป็นอย่างมากในเรื่องของการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรม เพราะคอมโพสในแต่ละซีนของหนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายของวัฒนธรรมญี่ปุ่น ที่แทรกซึมอยู่ในสัดส่วนของภาพ ความกว้าง ความแคบของมุมกล้องที่เล่นกับไอโซเมทริกซ์ (รูปแบบหนึ่งของภาพ 3 มิติ) ค่อนข้างมาก มีความเป็นกราฟิกแบบเรขาคณิต
แต่ถึงกระนั้น หนังเรื่องนี้ก็ยังมีจุดอ่อนอยู่บ้าง นั่นก็คือการดำเนินเรื่องที่ค่อนข้างเนือยไปสักเล็กน้อย ซึ่งอาจเป็นเพราะว่าต้องการฉายสปอตไลต์ไปที่งานภาพ เลยมีการแช่ภาพนิ่ง แต่ก็สามารถทำให้ผู้ชมอิ่มเอมกับวิวทิวทัศน์ในหลากหลายโลเคชันได้ไม่ยาก
อีกหนึ่งองค์ประกอบที่โดดเด่นจนไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ อินโทรเข้าเครดิตในตอนต้นเรื่องที่เป็นภาพโมชัน 3D แต่มีการผสมผสานซิลูเอตแบบ 2D เข้าไป เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นๆ ของเรื่องที่ทำออกมาได้ดีและน่าสนใจมาก
ใน เจมส์ บอนด์ ภาคนี้ ผู้ชมจะสามารถสัมผัสได้ถึงความเป็นภาพยนตร์มากขึ้น เพราะมีการปูเรื่องราวที่ชัดเจนแตกต่างจากภาคก่อนๆ ที่จะมีอารมณ์ของความเป็นคอมิกแบบจางๆ
นอกจากนั้น แม้ว่าในบางซีนจะค่อนข้างราบเรียบ แต่บทสนทนาและการกระทำของทุกตัวละคร ก็มีความเป็นมนุษย์ในแบบที่เราอยากเห็นจากตัวละคร เจมส์ บอนด์
และสิ่งที่พิเศษคือ No Time to Die เข้าฉายแล้วในทุกโรงภาพยนตร์ ผู้ชมจะได้กลับมาสัมผัสกับบรรยากาศของการดูหนังในโรงภาพยนตร์อีกครั้ง ซึ่งต้องบอกเลยว่าการได้ดู เจมส์ บอนด์ ภาคจบในโรงหนังมีผลกับอารมณ์และความรู้สึกในการรับชมเป็นอย่างมาก
บทสรุปของ เจมส์ บอนด์ พยัคฆ์ร้าย 007 ในแบบฉบับของ แดเนียล เคร็ก ในภาคนี้จะเป็นอย่างไร จะดำเนินไปอย่างที่ทุกคนคาดหวังเอาไว้หรือไม่ แฟนหนังน่าจะต้องไปร่วมกันหาคำตอบได้พร้อมกัน
สามารถรับชมตัวอย่างภาพยนตร์ได้ทาง